เดิมมิชลินเป็นผู้นำธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายยางล้อ แต่รอบของการเปลี่ยนยางแต่ละครั้งนั้นใช้เวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอย่างสูงที่จะทำให้ผู้บริโภคนึกถึงแบรนด์ตลอดเวลาเช่นเดียวกับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ดังนั้นมิชลินจึงได้หันมาคำนึงถึง Value for Life ของลูกค้า ด้วยการสร้างคุณค่าให้กับทุก ๆ ช่วงของชีวิต ตั้งแต่เกิด จนออกเดินทาง และเรียนรู้การใช้ชีวิต ด้วยการก้าวสู่ธุรกิจที่เป็น Life Experience และการสร้างประสบการณ์ที่ดีในชีวิตจะทำให้มิชลินสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้าได้
มิชลิน เป็นแบรนด์ระดับโลกที่ขยายธุรกิจสู่ประเทศไทยมายาวนานกว่า 35 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 1987 และในปัจจุบันบริษัทฯ มีธุรกิจที่หลากหลายประเภทนอกเหนือจากธุรกิจยางล้อ ผู้บริโภคในประเทศไทยจะรู้จักแบรนด์มิชลินแตกต่างกัน ซึ่งส่วนมากจะรู้จักมิชลินอย่างดีในฐานะผู้ผลิตยางและจำหน่ายยางล้อ และอีกไม่น้อยที่อาจจะรู้จักบริษัทฯ ในมุมของมิชลิน ไกด์ คู่มือแนะนำร้านอาหารระดับโลก ที่การันตีคุณภาพอาหารของร้านเด็ดต่าง ๆ จากหลากหลายประเทศ ซึ่งจริง ๆ แล้ว มิชลินมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่หลากหลายกว่าที่กล่าวมา โดยหนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของมิชลิน คือการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภค ไม่ใช่เพียงผู้เชี่ยวชาญด้านยางล้อ หรือคู่มือแนะนำร้านอาหารเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
คุณนันทิยา พิทักษ์วงษ์ดีงาม ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ B2C ประเทศไทย บริษัท สยามมิชลิน จํากัด เล่าให้เราฟังว่า ธุรกิจของมิชลิน สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก
- With Tire คือ กลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายยาง ซึ่งมิชลินมีผลิตภัณฑ์ยางที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถไฟ ยางสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร รวมไปถึงยางเครื่องบินและอื่น ๆ
- Around Tire คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยาง ซึ่งเป็นการนำเสนอ Services & Solutions ครบวงจรเพื่อการสัญจรที่ยั่งยืน
- Beyond Tire คือ ธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากธุรกิจยาง ซึ่งปัจจุบันมิชลินมีธุรกิจด้านวัสดุไฮเทค การพิมพ์โลหะ 3 มิติ พลังงานไฮโดรเจน เครื่องมือแพทย์ และธุรกิจที่เกี่ยวกับการสร้างประสบการณ์อย่างมิชลิน ไกด์ และ TabletHotels
จะเห็นได้ว่ามิชลินมีธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การผลิตและจำหน่ายยางเท่านั้น ซึ่งประเด็นนี้ คุณนันทิยา เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายของมิชลินคือการ “เป็นมากกว่าเพียงแค่ผู้ผลิตและจำหน่ายยาง” ซึ่งปัจจุบันธุรกิจที่มิชลินพุ่งเป้าและหมายมั่นปั้นมือให้เป็น New Growth คือ Around Tire กับ Beyond Tire ภายใต้คอนเซปต์ “Motion for Life” นั่นคือ มิชลินต้องการเป็นส่วนหนึ่งของลูกค้าในทุก ๆ การขับเคลื่อนไปข้างหน้า และถึงแม้ว่าปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Beyond Tire จะยังเป็นส่วนน้อย อยู่ที่ประมาณ 5% ของรายได้รวม แต่ในอนาคต เราจะได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่นอน
“มิชลินต้องการให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ตลอด ดังนั้นมิชลินจึงได้ก้าวสู่ธุรกิจที่เป็น Life Experience เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในชีวิตให้ลูกค้า และสิ่งที่มิชลินจะต้องทำคือการเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจด้านการสร้างประสบการณ์และธุรกิจยางเข้าด้วยกัน เมื่อสามารถทำให้ลูกค้าตอบสนองกับธุรกิจได้ตั้งแต่การเดินทางไปจนถึงท่องเที่ยวและอาหาร ก็จะทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้มิชลินเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้าได้”
ทุกวิกฤตล้วนเป็นโอกาสสำหรับมิชลิน
ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้โรคระบาด COVID-19 จะยืดเยื้อ แต่มิชลินยังมองเห็นโอกาสที่จะฟื้นตัวหลังจากพนักงานและตัวแทนจำหน่ายเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคระบาด โดยที่ผ่านมาได้พัฒนาและปรับตัวทั้งในแง่ของการสื่อสารกับลูกค้า หรือแม้กระทั่งการทำงานร่วมกันของพนักงานที่จะต้องปรับตัวภายในองค์กรหลายด้าน
ซึ่งในปี 2021 ที่ผ่านมา ถึงแม้มิชลินจะมีการ work from home เป็นระยะเวลายาวนานแต่ความผูกพันในองค์กร (วัดจาก Employee Engagement Survey) กลับดีขึ้นกว่าปีอื่น ๆ นั่นเป็นเพราะมิชลินได้ทำการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างพนักงานด้วย Digital Platform ซึ่งทำให้การทำงานสะดวกรวดเร็วแม้ไม่ได้เข้ามาทำงานที่บริษัท ขณะที่พนักงานของมิชลินได้พัฒนาทักษะรวดเร็วขึ้น และเกิดการเรียนรู้ที่จะหาวิธีการแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับตัวเอง
นอกจากนี้กุญแจสำคัญคือ การเรียนรู้วิธีที่จะลดความซับซ้อน (Simplify Process) ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ในช่วง work from home รวมถึงการแสดงความเข้าอกเข้าใจและพูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการ Burn Out ของพนักงานได้
“การติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้าหรือพนักงาน ในช่วง work from home ที่ผ่านมา หากเราพบว่ามีสิ่งผิดพลาดเราก็จะหาวิธีการแก้ไขและเรียนรู้ไปในตัว โดยใช้วิธีการ Take and Learn เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้วิธีการดำเนินธุรกิจที่เราเคยทำมาก่อนมันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จอีกแล้ว ซึ่งมิชลินเป็น Learning Organization ดังนั้นจึงได้มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการลองผิดลองถูก หากผิดพลาดก็จะจำเป็นบทเรียน และแก้ไข ส่วนสิ่งที่ถูกต้องก็จะนำมาใช้ สิ่งสำคัญคือ อย่าคิดว่าสิ่งที่ถูกต้องในวันนี้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” คุณนันทิยา กล่าว
ทั้งนี้การปรับตัวอย่างรวดเร็วของมิชลินนำมาซึ่งผลประกอบการที่เติบโตมากกว่าตลาด ถึงแม้จะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งในกลุ่มของลูกค้าประเภทธุรกิจค้าส่งยังได้เห็นการเติบโตที่ดี ทำให้ภาพรวมทั้งหมดออกมาเติบโตค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามในส่วนของธุรกิจค้าปลีกถือว่าชะลอตัว แต่มิชลินได้เข้าไปช่วยเหลือลูกค้าด้วยการสนับสนุนด้านการตลาดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำแคมเปญร่วมกัน หรือช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น
“เดิมร้านค้าปลีกซึ่งเป็นลูกค้าของเราทำการตลาดด้านราคาค่อนข้างดุเดือด แต่พอมีวิกฤตลูกค้ามีกำลังซื้อน้อยลง หากยังทำการตลาดด้านราคาจะยิ่งไปกดดันกำไร จึงต้องทำวิจัยทางการตลาด และเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับช่วงเวลาและกำลังซื้อ หรือความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งมิชลินได้ช่วยทำการวิเคราะห์ และเก็บข้อมูล รวมถึงช่วยเหลือลูกค้าตัวแทนจำหน่ายในการวางแผนทางการตลาด และผลลัพธ์ที่ออกมาคือ กำไรที่ดีกว่าที่คาดการณ์เอาไว้”
‘มิชลิน’ Above Average Digitalization เชื่อมโยงทุกภาคส่วนด้วยดิจิทัล
มิชลินถือเป็นบริษัทที่ก้าวหน้าด้านการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ (Digitalization) ในระดับแนวหน้าของโลก โดยมีความพร้อมทั้งช่องทางการขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยมิชลินมีแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Black Circle ซึ่งนำมาใช้เป็นช่องทางเชื่อมต่อกับผู้บริโภค โดยแพลตฟอร์มนี้มีคอนเซปต์ว่า “เรื่องยาง คลิกเดียวจบ” โดยจะเข้ามาช่วยให้ผู้บริโภคค้นหายางตามขนาด หรือตามประเภทและรุ่นรถได้ รวมไปถึงเลือกศูนย์บริการใกล้บ้านกว่า 260 จุดทั่วประเทศ ในวันและเวลาที่ลูกค้าสะดวกที่สุด ขณะที่สามารถชำระเงินที่หน้าเว็บไซต์ พร้อมเข้ารับบริการในวันที่นัดหมายได้ทันที
ด้านแพลตฟอร์มสำหรับตัวแทนจำหน่าย มิชลินมีแพลตฟอร์ม Dealer Portal ที่ใช้สำหรับตอบกลับลูกค้าตัวแทนจำหน่ายได้ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน โดยแพลตฟอร์มนี้ทำให้ตัวแทนจำหน่ายสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม รวมไปถึงตรวจสอบแคมเปญและผลประโยชน์ต่าง ๆ จากมิชลินได้ ซึ่งภายหลังจากมีแพลตฟอร์มนี้ทำให้ตัวแทนจำหน่ายได้รับประสบการณ์ที่ดี และยังสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มสำหรับร้านค้าส่งที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างมิชลินกับร้านค้าส่ง ไปจนถึงลูกค้าของร้านค้าส่งอีกทอด ซึ่งแพลตฟอร์มนี้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ดี และช่วยให้ขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้าสะดวกและรวดเร็วขึ้น
ขณะที่ในด้านของการนำ Digital มาใช้ภายในองค์กรนั้น มิชลินได้เลือกวิธีการจัดเก็บ Database ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการจัดเก็บ และค้นหาเอกสารมากกว่าการจัดเก็บข้อมูลแบบดั้งเดิม จึงนำไปสู่การตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
“มิชลินก้าวหน้ามาก ๆ เรื่อง Digital ในแง่ของ Corporate หากถ้าเทียบกับบริษัทอื่น ๆ เราอยู่แถวหน้า และ above average ในแง่ของ Digitalization ที่เอามาใช้ในองค์กร และสิ่งที่เรามุ่งหวังคือ Improve หรือ Delight ประสบการณ์ของพนักงานให้ดีมากขึ้น ในแง่ของการตัดสินใจรวดเร็ว การตอบกลับลูกค้าอย่างรวดเร็ว และการลดความซับซ้อน เพื่อที่จะนำเวลาที่จะต้องทำงานเอกสาร หรือทำงาน Admin ไปทำงานด้านยุทธศาสตร์มากขึ้น” คุณนันทิยา กล่าว
หัวใจสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
คุณนันทิยา กล่าวว่า กลยุทธ์การบริหารและการดำเนินธุรกิจของมิชลินจะต้องคำนึงถึงความยั่งยืน (Sustainability) เป็นหลัก โดยมี Key Elements ที่สำคัญ 3 เสาหลัก
- ผู้คน (People) โดยมิชลินต้องการให้พนักงานมีอัตราความผูกพันต่อองค์กร มีส่วนร่วม และตอบสนองกับองค์กร ขณะที่ในส่วนของลูกค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ทางมิชลินต้องการให้ตัวแทนเหล่านี้มีผลประกอบการที่ดี สามารถใช้งานระบบจัดซื้อหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ร่วมกับมิชลินได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งผลสุดท้ายแล้วหากพนักงานและตัวแทนจำหน่ายมีความสุขกับการทำงาน ความสุขเหล่านั้นก็จะถูกส่งต่อไปที่ลูกค้าในรูปแบบของการได้รับการบริการที่ดีอีกทอดหนึ่ง
- ผลประกอบการ (Profit) สำหรับมิชลินแล้ว Profit คือการสร้างคุณค่าให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ได้หมายถึงกำไรเพียงอย่างเดียว มิชลินจึงไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแค่ธุรกิจยางเท่านั้น เพราะหากดำเนินธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียวในอนาคตจะถูก Disrupt ได้ง่ายเพราะมีผู้ผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น การแข่งขันจึงสูงขึ้นตาม ดังนั้น มิชลินจึงได้มองหาธุรกิจอื่น ๆ และขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อนำไปสู่การสร้างผลประกอบการและกำไรที่ยั่งยืน
- ผืนโลก (Planet) มิชลินถือเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก โดยผู้บริหารของมิชลินจะใช้กลยุทธ์ความยั่งยืนในการขยายธุรกิจ หรือวางแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ Sustainability ด้วยการคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อ 3 เสาหลัก คือ People Profit Planet
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมามิชลินได้ให้ความสำคัญกับแผนการ Recycle ยางรถยนต์ โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2050 ยางรถยนต์ 1 เส้นจะต้องสามารถนำมา Recycle ได้ทั้งหมด 100% จากปัจจุบันสามารถ Recycle ได้ประมาณ 20-30% เท่านั้น ซึ่งหากแผนการนี้สำเร็จ จะทำให้เกิด Ecosystem ที่ไม่ทำลายโลก และช่วยลดการเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของโลกได้อย่างมาก เพราะโดยปกติแล้วยางที่ไม่ได้ Recycle สุดท้ายจะถูกนำมาเผา และกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิด PM2.5 และส่งผลกระทบต่อผู้คน
โดยแผนการดำเนินธุรกิจที่เน้นความยั่งยืนของมิชลินถือว่าตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่เริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะผู้บริโภคเหล่านี้จะมีพฤติกรรมที่เลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้การสนับสนุนองค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากกว่าองค์กรที่มุ่งหวังกำไรเพียงอย่างเดียว
“แม้กระทั่งบริษัทใหญ่ ๆ ก็เริ่มให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะพันธมิตรของมิชลินเองก็ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน โดยจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็น Non Toxic Base เพราะสารเคมีเหล่านั้น หากนำกลับมาใช้ใหม่ก็จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังตอบโจทย์เรื่อง Planet ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าเรามาถูกทาง เพราะมิชลินแคร์โลก เหมือนกับผู้บริโภคที่แคร์โลก และสิ่งที่ได้เปรียบเรื่อง Sustainability คือมิชลินได้เริ่มดำเนินแผนการนี้เร็วกว่าบริษัทยางเจ้าอื่น ทำให้เราหา Success Story ได้เร็วกว่า” คุณนันทิยา กล่าว
3 ปัจจัยขับเคลื่อนผลงานปี 2022
สำหรับเป้าหมายปี 2022 ทางมิชลินคาดหวังการเติบโตเลข 2 หลัก จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีความรุนแรงน้อยลง ขณะที่พนักงาน และลูกค้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากโรคระบาด โดยมิชลินตั้งเป้าการฟื้นตัวกลับไปสู่จุดที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเหมือนปี 2019 ซึ่งมีรายได้สูงถึง 12,354 ล้านยูโร
โดยปัจจัยที่จะขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2022 คือ
- การส่งต่อนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยคาดหวังยอดขายจะฟื้นกลับไปถึง 500,000 คน
- การนำ Digital Platform เข้ามาใช้ทั้งกับตัวแทนจำหน่าย การจัดส่ง รวมถึงใช้ภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจสะดวก รวดเร็ว นำมาสู่ผลประกอบการที่ดี
- การสร้างความรับรู้ถึงคุณค่าของแบรนด์มิชลินต่อลูกค้าภายใต้คอนเซปต์ Motion for Life ที่จะทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีกับการใช้ชีวิต
ซึ่งในแง่ของการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้กับผลิตภัณฑ์นั้น มิชลินมีแผนที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์จากความต้องการของลูกค้า หรือแม้กระทั่งการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าอาจจะต้องการแต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองต้องการ และเมื่อได้มาใช้งานจึงทำให้ทราบถึงความต้องการของตัวเอง ซึ่งการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอนั้นเป็น Vision ของมิชลินสู่การเป็น “The World Innovation Leader”
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่จะพัฒนาในปี 2022 คือ ยางรถยนต์ที่เหมาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มถูกนำมาใช้กันพอสมควร แต่ผู้บริโภคยังไม่รับรู้ว่ามียางรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งาน นั่นทำให้น้ำหนักของรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่ารถยนต์สันดาป จึงทำให้ยางรถยนต์นั้นสึกหรอเร็วกว่าปกติ ซึ่งทำให้ลูกค้าต้องเปลี่ยนยางบ่อยกว่าเดิม จึงจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้การเปลี่ยนยางบ่อยขึ้นเท่ากับการสร้างมลภาวะให้กับโลกมากขึ้นด้วยเช่นกัน เป็นสาเหตุที่ทำให้มิชลินได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ยางมาเพื่อตอบโจทย์รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
โดยยางรถยนต์ไฟฟ้าของมิชลินนั้น มี 2 แบบให้เลือกใช้งานคือ MICHELIN e.PRIMACY เหมาะสำหรับการขับขี่แบบสบายนุ่มเงียบ และ MICHELIN PILOT SPORT EV เหมาะสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
คุณนันทิยา กล่าวว่า แผนของมิชลินในช่วงแรกคือการทำให้ผู้บริโภครับรู้ถึงนวัตกรรมเหล่านี้ ซึ่งมิชลินเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่ทำยางรถยนต์สำหรับ EV ในตลาดการเปลี่ยนยางรถ (Replacement) ซึ่งเป้าหมายแรกคือการขยายตลาดและสร้างความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์นี้ให้มากขึ้น
“ตอนนี้ผู้บริโภคยังไม่รู้ว่ามียางที่เหมาะกับรถ EV นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำให้ผู้บริโภครับรู้ ซึ่งเราตั้งเป้าให้มีการออกจำหน่ายภายในปีนี้ และจะมีการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งปี 2022 จะเป็นปีที่เราแนะนำผลิตภัณฑ์ เพราะถือว่ายังเป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับผู้บริโภค แต่อย่างน้อยเราต้องมี know-how ให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเป็นผู้นำนวัตกรรมนี้”
จุดยืนของมิชลินคือราคาสมเหตุสมผลกับนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์
มิชลินเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยางที่ออกแบบยางโดยเน้นที่โครงสร้าง และให้ความสำคัญกับสูตรในการผลิตเนื้อยางเป็นอย่างแรก ทำให้ยางมีอายุการใช้งานได้อย่างยาวนาน ซึ่งมีผลจากการทดสอบยืนยันว่า ยางของมิชลินให้การใช้งานที่ยาวนานกว่าเมื่อเทียบกับยางของเจ้าอื่นในตลาด โดยที่การสึกหรอของยางจะน้อยกว่าคู่แข่งในระยะเวลาเท่ากัน ซึ่งที่ผ่านมาผู้บริโภคจะเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ของมิชลินจากการใช้งานจริง หรือจากตัวแทนจำหน่าย โดยในส่วนของตัวแทนจำหน่ายมิชลินได้พาไปทดสอบนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ขายได้รับรู้ถึงคุณค่า และเข้าใจถึงตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งตัวแทนจำหน่ายจะได้รับประสบการณ์จริง และนำข้อมูลเหล่านี้ไปแนะนำกับลูกค้าได้ดีขึ้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ของมิชลินนั้น จะเน้นที่คุณภาพและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยจุดยืนคือ ราคาที่สมเหตุสมผลกับคุณภาพ และมิชลินจะพุ่งเป้าที่การพัฒนานวัตกรรมอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีคู่แข่งรายใดตามทัน
“มิชลิน ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ให้คู่แข่งตามทัน และต้องการมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้ชีวิตให้กับลูกค้าในทุก ๆ ครั้งของการออกเดินทาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำพวกเขาไปสู่เป้าหมายได้อย่างแน่นอน”