The Success Story of The Month By ‘Business+’ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 จะพาผู้อ่านมาพบกับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจาก MGC-ASIA ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นหนึ่งในผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ BMW และดำเนินการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัย คือ โมเดลการลงทุน บุคลากร และการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน สู่การเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร ผ่านระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์และแข็งแรง ครอบคลุมทุกเซกเมนท์ เรียกว่า ‘MGC-ASIA Ecosystem’ กับบริการครบทุกมิติ ทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ พร้อมสำหรับโอกาสในการเติบโตต่อไป ในตลาดภูมิภาคอาเซียน
โดยบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA ผู้ดำเนินธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร สามารถทำผลงานในปี 2566 ได้อย่างโดดเด่น ด้วยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 12,275.1 ล้านบาท เติบโต 14.8% และกำไรสุทธิ 197.9 ล้านบาท เติบโต 20.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปียังคงสดใส จากการรับรู้รายได้หลังจากเปิดศูนย์ซ่อมสีและตัวถังสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ระดับโลก อย่าง TESLA รวมไปถึงการที่ลูกค้าบางส่วน เป็นกลุ่ม High Net Worth ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนไม่มากนัก
ทั้งนี้ ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ Business+ ว่า “ความสำเร็จขององค์กรไม่ได้เกิดจากผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเท่านั้น แต่รวมถึงการให้ความสำคัญกับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ หรือ ‘Customer Centric’ ผสานกับบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทุกราย
อีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับองค์กร คือ การมีระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์และแข็งแรง ครอบคลุมทุกเซกเมนท์ เรียกว่า ‘MGC-ASIA Ecosystem’ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ครบทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ ซึ่งปัจจุบัน MGC-ASIA เป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ Rolls-Royce อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย, เรือยอทช์ Azimut และเป็นผู้ให้บริการเช่าเครื่องบินส่วนตัว VistaJet อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และผู้แทนจำหน่ายบัตรโดยสารสายการบินชั้นนำ พร้อมได้รับความไว้วางใจจาก Chris-Craft Corporation ผู้ผลิตเรือสันทนาการแบรนด์ ‘Chris-Craft’ จากสหรัฐอเมริกา ประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 150 ปี ให้เราเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวทั้งในประเทศไทยและในอาเซียน รวมถึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ให้บริการบำรุงรักษาเครื่องยนต์เรือชั้นนำแบรนด์ ‘Mercury’ อย่างเป็นทางการอีกด้วย
นอกจากนั้น เรายังได้รับความไว้วางใจจาก BMW Group Thailand ให้เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์ BMW, MINI และมอเตอร์ไซค์ BMW Motorrad อย่างเป็นทางการ รวมถึงรถยนต์ High-performance อย่าง M Power การเป็นหนึ่งในผู้จำหน่ายมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson และรถยนต์ Honda ภายใต้ชื่อ Summit Honda Automoblile รวมไปถึงอีก 4 แบรนด์พันธมิตรที่เราเป็นผู้จำหน่าย คือ Aston Martin, Maserati, Peugeot และ Jeep
อีกทั้งยังเป็นผู้ให้บริการในหลากหลายประเภทธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ ประกันภัย Howden Maxi, ศูนย์บริการรถยนต์มาตรฐาน MMS Bosch Car Service and Tire, ผู้ให้บริการรถเช่าระยะยาว Master Car Rental, รถเช่าระยะสั้น Sixt Rent A Car จากประเทศเยอรมนี และ Alpha X ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางการเงินสำหรับยานยนต์กลุ่มลักชัวรี่
อีกประเด็นสำคัญ คือ การได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก โดย ดร.สัณหวุฒิ กล่าวว่า “MGC-ASIA ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทระดับโลกมากมาย ล่าสุดกับรถยนต์ไฟฟ้า TESLA ที่ได้แต่งตั้งให้เราเป็นผู้ให้บริการด้านการซ่อมสีและตัวถังอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ TESLA Approved Body Shop ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากบริษัทผู้ผลิต”
ศักยภาพขององค์กรและบุคลากร เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์พันธมิตรระดับโลก ซึ่ง MGC-ASIA ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานในองค์กร โดยมี Master Automotive Training ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกอบรมของเราเอง ผ่านหลากหลายหลักสูตรการอบรม เพื่อพัฒนาทักษะ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้า พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงานไปพร้อมกัน
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า MGC-ASIA ได้พัฒนาองค์กรและธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนมาไกลจากคำว่าผู้แทนจำหน่ายรถยนต์หรูสู่การเป็นธุรกิจค้าปลีกครบวงจรระดับภูมิภาค ซึ่งการที่จะบริหารองค์กรที่มีสินค้าและบริการ รวมถึงแพลตฟอร์มที่หลากหลาย เราจำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์โรดแมป รวมถึงกลยุทธ์ทุก ๆ ด้านอย่างชัดเจน และเหมาะสมกับสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในปัจจุบัน โดยดร.สัณหวุฒิ กล่าวว่า การขยายธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยต่อไปนี้
ปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ MGC-ASIA
1. โมเดลการลงทุน: MGC-ASIA ยึดหลักดำเนินธุรกิจที่แน่วแน่ ด้วยการให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน
ขององค์กร คัดเลือกพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง กำหนดทิศทางดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน โดยการคัดสรรผลิตภัณฑ์หรือรูปแบบการบริการใหม่ ๆ ที่ทันสมัยและรวดเร็ว ที่สำคัญจะต้องเกื้อกูลกับธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
“เราเปิดรับพันธมิตรทุก ๆ ค่าย ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับโอกาสและความไว้วางใจจากพันธมิตรระดับโลกมากมาย เพื่อเป็นการ
เติมเต็ม Lifestyle Mobility Ecosystem ให้มีความแข็งแกร่งและสมบูรณ์ โดยต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์เป้าหมายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
2. บุคลากร: การเพิ่มศักยภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากร นับเป็นสิ่งที่ MGC-ASIA ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเราได้สร้างสถาบันฝึกอบรม ‘Master Automotive Training’ สำหรับพนักงานในองค์กร เพื่อฝึกสอนและพัฒนาทักษะของบุคลากร ผ่านหลักสูตรที่มีความหลากหลาย ทั้งความรู้ทั่วไป, ทัศนศึกษาดูงาน,ทักษะเชิงช่าง ไปจนถึงแนวคิดในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการร่วมทำงานกับพันธมิตรทางธุรกิจ และการให้บริการกับลูกค้าทุกราย ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากรในองค์กร
3. การดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน: นอกเหนือจากการวางแผน และบริหารทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าสูงสุด ทาง MGC-ASIA คงให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด ESG (Environmental, Social and Governance) โดยให้ความสำคัญในการลด Carbon Footprint ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการมีสิทธิเท่าเทียมของทุกคน และการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสในทุกขั้นตอน โดยยึดหลักธรรมาภิบาล พร้อมเติมเต็มระบบนิเวศทางธุรกิจ
ด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Loyalty Program ภายใต้ชื่อ MOBILIFE เพื่อให้ลูกค้าสะสมคะแนนและนำมาแลกสิทธิพิเศษต่าง ๆ ทั้งจากบริษัทในเครือฯ และพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ การแลกบัตรโดยสารสายการบินที่เราเป็นผู้แทนจำหน่าย”
เพิ่ม Segmentation ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า
เมื่อถามถึงเป้าหมายถัดไปของ MGC-ASIA ดร.สัณหวุฒิ กล่าวว่า “เราต้องการสร้างการเติบโตทุก ๆ ภาคส่วน ทั้งสินค้า การบริการ บนรูปแบบแพลตฟอร์มใหม่ กับพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญของเราทุก ๆ รายแบบยั่งยืน ผ่านประสบการณ์และขีดความสามารถทุก ๆ ด้าน ในองค์กร MGC-ASIA ของเราได้เป็นอย่างดี”
“เรามีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกเซกเมนท์ ตั้งแต่ mass ไปจนถึงระดับสูงสุดอย่าง Ultra Luxury อีกทั้งปัจจุบัน
ก็มีเซกเมนท์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น อาทิ Semi Premium หรือ High Technology นับเป็นโอกาสในการขยายตลาด เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเจนฯ และครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบวงจร” ดร.สัณหวุฒิ กล่าว
สรุปได้ว่า MGC-ASIA มีธุรกิจที่หลากหลาย และมีผลิตภัณฑ์ครบทุกเซกเมนท์ ซึ่งต้องอาศัยการบริหารงานแบบมืออาชีพ โดย 3 สิ่งที่ MGC-ASIA ให้ความสำคัญ คือ 1. โมเดลการลงทุน 2. บุคลากร 3. การดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน นอกจากนี้ สิ่งที่ผลักดันองค์กรได้อย่างดี คือการกำหนดยุทธศาสตร์โรดแมปอย่างชัดเจน และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม Loyalty Program ชื่อว่า ‘MOBILIFE’ เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจทุก ๆ ราย เชิญชวนให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความได้เปรียบทางธุรกิจ ทั้งในด้านผลประกอบการ และการเติบโตตามเป้าหมายที่กำหนดในระยะยาว