ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า กลายเป็นสนามแข่งขันที่ร้อนแรงที่สุด โดยเฉพาะการปรับราคาขายลงอย่างมีนัยสำคัญจากแบรนด์รถยนต์จีน เพื่อต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ต่างเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และในบริบทนี้ Mercedes-Benz หนึ่งในแบรนด์รถหรูชั้นนำของโลก ไม่สามารถอยู่เฉยได้ และต้องทบทวนกลยุทธ์การตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาด EV ที่ทวีความเข้มข้นเช่นกัน
ล่าสุด ผู้บริหารเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ประกาศแนวทางการทำตลาดด้านราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น โดยการปรับราคานี้ไม่ได้หมายถึงการลดคุณภาพ แต่เป็นการสร้างความคุ้มค่าให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะประเด็นด้านเทคโนโลยีไฮเทคและความหรูหรา
ในขณะที่เมื่อถูกเปรียบเทียบกับความคาดหวังสูงใน 2 มิติสำคัญ ได้แก่ ระยะทางวิ่งต่อการชาร์จเต็ม (Range) และราคาที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ให้มา โดยทั้งสองปัจจัยนี้กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ไม่ได้มองเพียงความหรูหราหรือแบรนด์ แต่จะพิจารณาถึงความคุ้มค่า ความสะดวกสบาย และประสิทธิภาพการใช้งานมากขึ้น
ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แนะนำ Mercedes-Benz CLA 250+ with EQ Technology บนจุดขายใหม่ (Selling Point) เชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนที่สุด กับการผสานระหว่างเทคโนโลยีขั้นสูงกับความคุ้มค่าและฟังก์ชันการใช้งานจริง ผ่าน 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
เรื่องแรกคือ ภาพลักษณ์และการสื่อสารแบรนด์ โดยกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อสื่อสารความเรียบง่ายและเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่ง Mercedes-Benz ตัดสินใจยกเลิกการใช้ชื่อ EQ ออก เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายขึ้น และเพื่อทำให้การสื่อสารเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าของ Mercedes-Benz ชัดเจนขึ้น จากการเรียนรู้จากความซับซ้อนของการตลาด EV ในอดีต ซึ่งการปรับภาพลักษณ์เช่นนี้ สะท้อนถึงความเข้าใจตลาดของ Mercedes-Benz ว่า ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการความชัดเจนในการสื่อสารและความเชื่อมโยงระหว่างผลิตภัณฑ์กับประสบการณ์ใช้งาน
เรื่องที่สอง คือ การนำเสนอมุมมองด้านเทคโนโลยีและประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดย CLA 250+ with EQ Technology สามารถชาร์จไฟได้เร็ว และเพิ่มระยะวิ่งต่อชาร์จเต็มอย่างมีนัยสำคัญ โดย CLA 250+ with EQ Technology จะเป็นก้าวสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่ตอบโจทย์ในทุกมิติ ทั้งในด้านสมรรถนะอันทรงพลัง ที่ให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร
รวมถึงการติดตั้งแบตเตอรี่ 800V ขนาด 85 kWh ที่ให้ระยะทางการขับขี่สูงสุด 792 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP และมีประสิทธิภาพการชาร์จที่รองรับ DC Charge สูงสุด 320 kW โดยการชาร์จเพียง 10 นาที ด้วยกระแสไฟเต็มกำลัง จะสามารถขับขี่ได้ไกลถึง 325 กิโลเมตร
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ CLA 250+ with EQ Technology มาพร้อมแพลตฟอร์ม MMA (Mercedes-Benz Modular Architecture) ที่เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพการผลิตให้สามารถเข้ากับรถยนต์ทุกระบบขับเคลื่อน ทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์สันดาปภายใน สอดคล้องกับการปรับกลยุทธ์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จากเดิมที่ใช้ซับแบรนด์ Mercedes-EQ จะถูกเปลี่ยนมาอยู่ภายใต้แบรนด์ Mercedes-Benz ทั้งหมด
ประเด็นนี้ถือว่า CLA 250+ สามารถจะแข่งขันกับคู่แข่งได้แบบสูสี ซึ่ง CLA 250+ มุ่งเน้นคุณค่าของเทคโนโลยีและประสบการณ์การขับขี่ในระยะไกลขึ้น สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่มองหารถหรู แต่ยังต้องการความคุ้มค่า ซึ่งจะทำให้ Mercedes-Benz สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า และดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้เช่นกัน
เรื่องที่สาม คือ กลยุทธ์การตั้งราคาขายที่ลดลงกว่าในอดีต โดย CLA 250+ ได้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวด้านราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งการปรับราคานี้ไม่ได้หมายถึงการลดคุณภาพ แต่เป็นการจัดสมดุลระหว่างเทคโนโลยีหรูหรา และการสร้างความคุ้มค่าในสายตาผู้บริโภค โดยการวางราคา CLA 250+ อย่างรอบคอบ ยังช่วยสร้าง Positioning ที่ชัดเจนว่า Mercedes-Benz ไม่ได้เป็นเพียงรถหรู แต่ยังสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด EV แบบ Mass Premium ได้
ถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่า CLA 250+ with EQ Technology ซึ่งจะถูกแนะนำต่อสาธารณชนตั้งแต่วันนี้ จนถึงงาน Motor Expo 2025 ปลายปีนี้ เรียกว่า เป็นการ Pre-event ที่เตรียมการล่วงหน้าพอสมควร นั่นเพราะว่า Mercedes-Benz ค่อนข้างคาดหวังกับการเปิดตัว CLA 250+ อย่างมาก
ที่ผ่านมา Mercedes-Benz ได้เรียนรู้ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามาพอสมควร เริ่มจาก Key Takeaways สำคัญคือ การปรับราคาให้สมเหตุสมผล และการพัฒนาสินค้าด้วยการเพิ่มระยะวิ่งต่อชาร์จมากขึ้น ในระดับเกือบ 800 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง
ถามว่า การเปลี่ยนแปลงนี้้ทั้งหมดจะส่งเสริมให้ Mercedes-Benz ทำตลาดดีขึ้นไหม ?
คำถามนี้ คงต้องรอให้ผู้บริโภคเป็นคนตัดสินใจว่า Mercedes-Benz ตัดสินใจถูกต้องไหม นั่นเพราะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน เป็นสนามแข่งขันที่ต้องอาศัยทั้งเทคโนโลยี การสื่อสารแบรนด์ และการเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค ว่าสุดท้ายแล้ว ซื้อรถมาใช้คุ้มค่าหรือไม่ อย่างไร ?
สิ่งที่ได้เห็นจากแบรนด์คือ Mercedes-Benz จึงเลือกที่จะ “รีเฟรช” แนวทางใหม่ของตน ผ่าน CLA 250+ with EQ Technology ซึ่งผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ระยะวิ่งที่ยาวขึ้น และราคาที่เข้าถึงได้ ถือเป็นการสร้างจุดขายที่ชัดเจน และอาจจะเป็น Turning Point สำคัญด้วย
ที่บอกเช่นนั้น เพราะว่า มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำว่า ที่ผ่านมา CLA คือ โมเดลที่เป็น Game Changer มาตลอดสำหรับ Mercedes-Benz และครั้งนี้ เราก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นอีกรอบ