วิเคราะห์ ‘สงคราม ส่งด่วน’ ที่ความเป็นจริงแล้วอาจไม่จบสวยแบบในซีรีส์

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” ใน Netflix ที่เป็นเรื่องราวของชายชื่อ “สันติ” ที่ก่อตั้งสตาร์ตอัปขนส่งชื่อ “Thunder Express” โดยที่โครงเรื่องของซีรีส์นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของคุณคมสันต์ แซ่ลี ที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Flash Express ขึ้นมา (เนื้อหาต่อไปมีการสปอยเรื่อง)

ทั้งนี้ ในเรื่องมีการแข่งขันกันระหว่าง Thunder Express ของสันติ และ Easy Express ภายใต้เจ้าสัวคณิน โดยมีการงัดกลยุทธ์หลายอย่างออกมาใช้ เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดมาจากอีกฝ่าย โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีการหยิบยกขึ้นมาคือ การตัดราคา ซึ่งในบางครั้ง อาจตัดราคาจนลงไปต่ำกว่าทุนเพื่อกำจัดคู่แข่ง หรือ Predatory Pricing

สำหรับในเรื่องนั้น ด้านสันติที่เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดไปเริ่มตัดราคาค่าขนส่งลงไปเหลือเพียงแค่ 19 บาท ต่อชิ้น จากเดิมที่อยู่ที่ 25 บาท ลดลงไปต่ำกว่าคู่แข่ง ส่งผลให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก และยังทำให้เจ้าสัวคณินต้องนัดเจอกับสันติแล้วพูดเตือนว่า อย่าทำสงครามราคา เพราะจะทำให้ทุกเจ้าพังกันหมด

เรื่องสงครามราคาจากซีรีส์นี้ก็สามารถสะท้อนสถานการณ์ตลาดขนส่งพัสดุด่วนในไทยเป็นอย่างดี เพราะในช่วงที่ผ่านมา หลายบริษัทเข้าสู่สนามนี้ทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นไปรษณีย์ไทย ที่อยู่ในตลาดมานานแล้ว Kerry, Flash และ J&T รวมถึงอีคอมเมิร์ซอย่าง Lazada และ Shopee ที่หันมาเปิดกิจการขนส่งของตัวเอง

ซึ่งโดยธรรมชาติของธุรกิจประเภทนี้ บริษัทขนส่งจะมีค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ในการเปิดสาขาใหม่และค่าจ้างไรเดอร์ที่มาส่งพัสดุ ส่วนสินค้า ซึ่งก็คือบริการรับส่งพัสดุ จะมีความคล้ายกันมาก โดยคนส่วนใหญ่ก็จะไม่เกี่ยงว่าต้องพัสดุกับเจ้าไหน ส่งผลให้วิธีการแข่งขันหลักคือการลดต้นทุน ให้สามารถทำราคาค่าส่งให้ถูกลงได้ จนเกิดเป็น สงครามราคา ขึ้นมา

ทั้งนี้ บริษัทที่มีสายป่านยาวก็สามารถออกโปรโมชันหรือลดราคาค่าจัดส่งลงเป็นระยะเวลายาวนาน จนกว่าคู่แข่งจะล้มหายตายจากได้ ในขณะที่บริษัทขนส่งที่ไม่สามารถแข่งขันสงครามราคานี้ได้ก็ต้องออกจากตลาดไป ซึ่งในซีรีส์นั้น บริษัทของสันติก็ต้องประสบปัญหาทางการเงินจากการปรับราคาจัดส่งลงจนเกือบจะต้องปิดกิจการ ส่วนในชีวิตจริงก็มีตัวอย่างบริษัทชื่อ Alpha Fast ที่แบกรับภาวะขาดทุนไม่ไหว จนต้องปิดตัวไป

ซึ่งผลลัพธ์ของสงครามราคานี้ยังทำให้บริษัทหลายแห่งก็มีกำไรลดลง และสามารถให้ผลตอบแทนกับพนักงานได้น้อยลงตามไปด้วย โดยตัวอย่างของบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหาการขาดทุนอย่างหนักก็ได้แก่

Kerry

ปี 2565 รายได้ 17,145 ล้านบาท ขาดทุน 2,830 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 11,541 ล้านบาท ขาดทุน 3,881 ล้านบาท

ปี 2567 รายได้ 9,616 ล้านบาท ขาดทุน 5,911 ล้านบาท

Flash Express

ปี 2564 รายได้ 17,607 ล้านบาท กำไร 5.7 ล้านบาท

ปี 2565 รายได้ 14,805 ล้านบาท ขาดทุน 2,186 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 20,093 ล้านบาท ขาดทุน 559 ล้านบาท

(ยังไม่เปิดเผยงบการเงินปี 2567)

อ่านมาถึงตรงนี้ ซีรีส์เรื่อง สงคราม ส่งด่วน ก็เป็นหนึ่งในกระจกสะท้อนสงครามธุรกิจในชีวิตจริงได้เป็นอย่างดี ที่มีการพูดถึงหุ้น กลยุทธ์ทางการตลาด เงินทุน ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และคน ซึ่งถ้าผู้ประกอบการไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ก็จะต้องโดนคลื่นแห่งการแข่งขันกลืนกินไป

 

ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, IMDb

ผู้เขียนและเรียบเรียง: พรบวร จิรภัทร์วงศ์

 

#BusinessPlus

#ธุรกิจ

#สงครามส่งด่วน