‘Business Crack’ ครั้งนี้จะพาไปเจาะกลุ่มธุรกิจการแพทย์ เพราะเมื่อพูดถึง “เศรษฐกิจสุขภาพ” หรือธุรกิจการแพทย์ของไทย ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่อง และกำลังกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทย ภายใต้นโยบาย Medical & Wellness Hub ที่รัฐบาลผลักดันอย่างจริงจัง
จากข้อมูลใน Infographic จะเห็นว่าในปี 2025 ตลาดการแพทย์ไทยถูกคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 690,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 3.4% ของ GDP โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคเอกชนที่เติบโตเฉลี่ย 6.1% ต่อปี
หากเจาะลึกลงไปโดยแบ่งเป็นทั้งหมด 5 เซกเมนต์หลักๆ จะเห็นว่า…
- ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน มีรายได้สูงถึง 322,000 ล้านบาท นับเป็นเสาหลักของจักรวาลธุรกิจการแพทย์ไทย
- ตลาดยา มีรายได้ 312,550 ล้านบาท และคาดว่าในช่วงปี 2568–2570 มูลค่าการจำหน่ายยาจะขยายตัวเฉลี่ย 6–7% ต่อปี
- ธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์ ทำรายได้กว่า 4,352 ล้านบาท แต่มีโอกาสโตต่อเนื่องจากทั้งตลาดในประเทศและการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวปีละ 5–7%
- ร้านขายยา เป็นอีกกลไกสำคัญ โดยคาดว่ายอดขายอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องปีละ 4%
- ธุรกิจจำหน่ายยา คาดว่ามูลค่า ในปี 2568-2570 มูลค่าจำหน่ายยาในประเทศจะขยายตัวเฉลี่ย 6.0-7.0% ต่อปี
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าจับตา คือการเติบโตของ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ซึ่งคาดว่าจะขยับจาก 20,800 ล้านบาทในปี 2024 ไปสู่ศักยภาพกว่า 117,800 ล้านบาทภายในปี 2033
แม้ไทยยังพึ่งพาการนำเข้า API (Active Pharmaceutical Ingredients) สูงถึง 65% แต่โอกาสใหม่จาก ตลาด Wellness, เทคโนโลยีดิจิทัล และการลงทุน R&D ทำให้ภาพรวมธุรกิจการแพทย์ไทยยังคงมีทิศทางการเติบโตที่แข็งแกร่ง และอาจเป็นหนึ่งใน Sunrise Industry ของเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้า
โดยอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพของไทยในปัจจุบันมีโครงสร้างและพลวัตที่หลากหลาย ตั้งแต่การผลิตเครื่องมือแพทย์ การนำเข้าและจัดจำหน่ายยา การผลิตยาและเวชภัณฑ์ ไปจนถึงบริการโรงพยาบาลและร้านขายยา ซึ่งทุกกลุ่มล้วนสะท้อนแนวโน้มสำคัญว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีและการวางกลยุทธ์เชิงรุกสามารถสร้างอัตรากำไรและความสามารถในการแข่งขันได้สูง
ในกลุ่มแรก การผลิตเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ จะเห็นได้ชัดจากกรณีของ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ ที่แม้จะเป็นผู้ผลิตถุงมือยางซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาต่อหน่วยไม่สูงนัก แต่อาศัยจุดแข็งด้านการผลิตครบวงจรและเทคโนโลยีการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล ส่งออกกว่า 170 ประเทศ ทำให้มีรายได้สูงถึง 25,946.97 ล้านบาท เติบโต 28.10% อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้นอยู่เพียง 6.72% ซึ่งต่ำกว่าบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง ยีอี เมดิคอล ซิสเต็มส์ ที่แม้มีรายได้เพียง 3,128.46 ล้านบาท แต่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 32.70% จากการจำหน่ายอุปกรณ์วินิจฉัยที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน เช่น MRI และ CT Scan
ขณะที่ นิโปรและเอสซีลอร์ลูซอตติกา ซึ่งมีเทคโนโลยีในระดับกลางถึงสูงก็สามารถรักษากำไรขั้นต้นไว้ได้ที่ 10–12% สะท้อนแนวโน้มสำคัญว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูงและการควบคุมคุณภาพช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและกำไรได้มากกว่าการแข่งขันด้วยปริมาณเพียงอย่างเดียว และสอดคล้องกับภาพรวมของไทยที่เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าการแพทย์สำคัญของอาเซียน โดยเฉพาะถุงมือและเข็มฉีดยา ซึ่งมีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปกว่า 70% หากในอนาคตผู้ผลิตไทยสามารถยกระดับไปสู่สินค้าการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น อัตรากำไรของกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ถัดมาในกลุ่ม การนำเข้าและการจัดจำหน่ายสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และการแพทย์ พบว่าตลาดไทยถูกครองโดยบริษัทยาข้ามชาติที่ตั้งตัวแทนจำหน่ายและระบบกระจายสินค้าครอบคลุมทั้งประเทศ โดย DKSH มีรายได้สูงที่สุดถึง 125,008.13 ล้านบาท และกำไร 1,909.29 ล้านบาท สะท้อนถึงอำนาจต่อรองและระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ ซิลลิค ฟาร์มา ซึ่งเป็น Rising Star ของกลุ่มที่มีการเติบโตของรายได้ 11.37% และพลิกจากขาดทุนในปี 2563 มามีกำไรต่อเนื่อง แสดงถึงความสามารถในการปรับกลยุทธ์และบริหารต้นทุนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง แม้บริษัทแอมเวย์และแอ๊บบอตจะมีรายได้และกำไรลดลงบางช่วง แต่ด้วยฐานลูกค้าที่มั่นคงและเครือข่ายการขายตรง รวมถึงการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังมีบทบาทสำคัญ การวิเคราะห์ในเชิงกลยุทธ์พบว่า บริษัทยาข้ามชาติจะยังคงครองตลาดไทยต่อไป เนื่องจากการนำเข้าและกระจายสินค้าทางการแพทย์ต้องอาศัยการลงทุนสูงและความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ซึ่งแบรนด์ระดับโลกมีความได้เปรียบ
โดยเริ่มจาก กลุ่มการผลิตยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางยา แม้ต้องใช้เงินลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) ในสัดส่วนสูง แต่ข้อมูลสะท้อนว่าบริษัทที่ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น เช่น เมก้า ไลฟ์ไซเอนซ์ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงที่สุด 43.92% และกำไรสุทธิ 2,012.48 ล้านบาท แม้รายได้ลดลงเล็กน้อย ขณะที่ไทยโอซูก้าโดดเด่นด้วยอัตราการเติบโตของกำไรสูงถึง 82.65% จากกลยุทธ์เน้นผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชเฉพาะทาง
นอกจากนี้ยังมีบริษัทไทยนครพัฒนาที่แม้รายได้ 3,436.20 ล้านบาทลดลงเล็กน้อย (-0.14%) แต่กำไรยังเติบโต 18.15% และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง 33.52% ตอกย้ำจุดแข็งด้านความหลากหลายของสินค้า เช่น ทิฟฟี่ ซาร่า แอนตาซิล และยาดมคุณหลวง
ส่วนสยามไบโอไซเอนซ์ถือเป็น Rising Star ที่มีศักยภาพเชิงยุทธศาสตร์ เพราะสามารถผลิตยาชีววัตถุครบวงจรตั้งแต่คิดค้น วิจัย ผลิต และบรรจุได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาต่างประเทศ ซึ่งหากรัฐและเอกชนร่วมสนับสนุนต่อเนื่อง จะช่วยสร้างความมั่นคงทางยาของประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ดี อุปสรรคสำคัญยังคงอยู่ที่การผลิตสารตั้งต้นยา (API) ที่ไทยผลิตได้ไม่ถึง 10% ของความต้องการ จึงต้องนำเข้าจากจีน สหรัฐฯ และอินเดีย ทำให้การพัฒนาผู้ผลิต API ในประเทศและการลงทุนด้านเทคโนโลยีชีวภาพเป็นสิ่งจำเป็น สะท้อนว่าในกลุ่มผู้ผลิตยา ขนาดธุรกิจไม่ได้เป็นตัวแปรเดียวที่กำหนดความสามารถในการทำกำไร แต่การมีนวัตกรรม การวางกลยุทธ์สินค้า และเครือข่ายทางธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความยั่งยืนได้
สำหรับ กลุ่มการให้บริการทางการแพทย์ ที่ถือเป็นตลาดพรีเมียมและมีการแข่งขันสูง แม้ต้องเผชิญต้นทุนด้านบุคลากรและเทคโนโลยีราคาแพง แต่ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง โดย BDMS เป็นผู้นำตลาดด้วยรายได้ 109,587.61 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 15,987.01 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งด้วยเครือโรงพยาบาลกว่า 40 แห่ง ในขณะที่บำรุงราษฎร์โดดเด่นด้วยอัตรากำไรสุทธิสูงสุดเกือบ 30% จากการเน้นตลาดผู้ป่วยต่างชาติและมาตรฐานบริการระดับโลก ส่วนสมิติเวชแม้มีรายได้ต่ำที่สุดในกลุ่ม แต่กำไรเติบโตสูงสุด 11.72% สะท้อนพลังของกลยุทธ์เฉพาะทางที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้จริง และจากข้อมูลของ TIP ยืนยันว่า ผู้ป่วยต่างชาติสร้างรายได้กว่า 50% ของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำและใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่าผู้ป่วยไทยหลายเท่า
นอกจากนี้โรงพยาบาลพระรามเก้าในฐานะ Rising Star โดดเด่นจากการเติบโตทั้งรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2565 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 127.80% แตะ 567.61 ล้านบาท จนได้รับคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SET100 และ SET100FF ซึ่งเป็นหลักฐานของความแข็งแกร่งทางธุรกิจและศักยภาพการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างชาติในอนาคต แนวโน้มของกลุ่มนี้ยังมีโอกาสเติบโตสูงต่อเนื่องจากกระแส medical tourism และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น telemedicine และ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและการบริหารต้นทุน
สุดท้าย กลุ่มการให้บริการร้านขายยา ซึ่งเป็นปลายน้ำของอุตสาหกรรมและแข่งขันรุนแรงที่สุดเพราะราคาถูกควบคุม กำไรต่อหน่วยต่ำ การสร้างความแตกต่างและเครือข่ายบริการคือกุญแจสำคัญ โดยโปรฟาสซิโนมีสาขามากที่สุดและรายได้สูงสุด 2,116.87 ล้านบาท ขณะที่เซฟดรักมีอัตราการเติบโตของรายได้สูงที่สุด 47.53% จากจุดแข็งเป็นร้านขายยาที่อยู่ในเครือ BDMS และบริการเภสัชกรคุณภาพ ส่วนเฮลท์ลีดเติบโต 21.60% ด้วยโมเดลผสมผสานทั้งร้านยาและแพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัล เช่น แบรนด์ iCare, Pharmax, Super Drug แสดงให้เห็นว่าการลงทุนใน ecosystem ด้านข้อมูลและเทคโนโลยีสามารถเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันได้
ขณะที่เฮลท์อัพแม้มีรายได้ 1,391.58 ล้านบาทและกำไรเพียง 5.14 ล้านบาท ลดลง -9.9% แต่ก็มีจุดเด่นในการพัฒนาอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพในตลาดเฉพาะ ส่วน Pure Pharmacy และ eXta Plus ในฐานะ Rising Star กำลังเร่งขยายสาขาในเครือค้าปลีกขนาดใหญ่และผสานบริการดิจิทัล ตอกย้ำว่าธุรกิจร้านขายยายุคใหม่จะอยู่รอดได้ด้วยกลยุทธ์เชื่อมโยงออนไลน์-ออฟไลน์ ใช้ข้อมูลลูกค้าและสิทธิประโยชน์สร้างความภักดี
ทั้งนี้เมื่อวิเคราะห์ ภาพรวมทุกกลุ่มธุรกิจ จะพบประเด็นร่วมที่สำคัญคือ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การสร้างเครือข่ายและระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง การเน้นบริการพรีเมียมและเฉพาะทาง รวมถึงการสร้าง Ecosystem ที่เชื่อมโยงหลากหลายบริการ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตและเพิ่มกำไรในแต่ละกลุ่มธุรกิจ อนาคตของอุตสาหกรรมการแพทย์ไทยยังมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อผนวกเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมชีวภาพ และนโยบายสนับสนุนจากรัฐ หากสามารถแก้ไขข้อจำกัดเรื่องวัตถุดิบยาและบุคลากรทางการแพทย์ ขยายการลงทุนด้าน R&D และยกระดับเทคโนโลยีการผลิต ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็น Medical Hub ของภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในระยะยาว
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์ , เว็บไซต์บริษัท , DBD ,BOI ,Numbeo , JCI ,กระทรวงสาธารณสุข ,สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม , TTB , Corpus ,KBank ,Krungsri
เขียนและเรียบเรียง : สถาปัตย์ มะดวง
#BusinessPlus
#BusinessCrack
#ธุรกิจ
#ธุรกิจการแพทย์