บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันนี้ (13 ก.ย.2566) เป็นวันแรกในกลุ่มธุรกิจบริการ โดยราคาหุ้นปิดตลาดวันแรกขึ้นไปที่ระดับ 10.50 บาท หรือสูงกว่าราคา IPO ราว 50% โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสะท้อน Demand ในตลาด และความเชื่อในธุรกิจของนักลงทุน
ซึ่งหากมองในแง่ของธุรกิจแล้ว GFC ถือว่าเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจในแง่ของอัตราการทำกำไรสุทธิสูงอย่างมาก โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรขั้นต้นสูง (Gross Profit Margin) ถึง 129.85 ล้านบาท เทียบกับรายได้จากการขายและบริการซึ่งอยู่ที่ 275.91 ล้านบาท คิดเป็น 47% เลยทีเดียว หากถามว่า สูงแค่ไหน หากไปวัดอัตรากำไรขั้นต้นกับธุรกิจน้ำมันบางช่วงอาจอยู่ที่ราวๆ 10% เท่านั้น นอกจากนี้เเมื่อเทียบระยะเวลาคืนทุนกับบริษัทที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันแล้วยังคืนทุนได้เร็วกว่าอีกด้วย
โดยก่อนอื่นมาดูข้อมูลที่น่าสนใจกันก่อน GFC เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากแบบครบวงจร ตั้งแต่ให้คำแนะนำและคำปรึกษา ตลอดจนการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
ซึ่งการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ GFC มีวัตถุประสงค์ใช้เงินจาก IPO จำนวน 401.87 ล้านบาท แบ่งใช้เป็น 3 ส่วนหลักดังนี้
- ใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 154.00 ภายในปี 2566 ถึง 2567
- ใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการขยายสาขา 232.50 ภายในปี 2566 ถึง 2568
- ใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต 15.37 (ที่เหลือจาก 2 ข้อบน)
โดยโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับแรกคือ
- รศ.นพ.พิทักษ์ เลาห์เกริกเกียรติ ถือหุ้น 25.46%
- นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติถือหุ้น 18.18%
- นางสาวภาสิรี อรวัฒนศรีกุล ถือหุ้น 14.55%
ทั้งนี้มาดูประเด็นที่น่าสนใจกันอย่างระยะเวลาคืนทุนกันบ้าง โดย ‘Business+’ พบข้อมูลว่า ราคา IPO ของ GFC ที่ 7 บาท นั้นคิดเป็น P/E ratio ที่ประมาณ 21.17 เท่า (คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566) ซึ่งหากเทียบกับ 7 บริษัทที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยค่า P/E ค่อนข้างต่ำ แสดงให้เห็นว่าบริษัทแห่งนี้จะใช้เวลาในการคืนทุนให้กับผู้ถือหุ้นที่ลงทุนต่ำกว่าบริษัทอื่น ๆ โดยข้อมูลของทั้ง 7 บริษัทคู่แข่งมีดังนี้
อย่างไรก็ตาม ค่า P/E ratio ที่ต่ำนี้ยังไม่ได้สะท้อนความคุ้มค่าของการลงทุนในทุกมิติ โดยผู้ลงทุนต้องมองในแง่ของอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยทุกปี ประกอบกับความสามารถในการทำกำไรสุทธิ และกำไรขั้นต้น รวมไปถึงอัตราการจ่ายปันผลร่วมด้วย โดยบริษัทแห่งนี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ