Flow Culture วัฒนธรรมที่ปลุกไฟ “นวัตกรรม” ในองค์กร

ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง คือ สิ่งที่แยกองค์กรที่ “อยู่รอด” ออกจากองค์กรที่ “นำตลาด” อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า องค์กรที่มีคนเก่งก็ไม่ใช่องค์กรที่จะสร้างนวัตกรรมได้เสมอไป นั่นเพราะความคิดสร้างสรรค์นั้น ไม่สามารถเติบโตได้ในวัฒนธรรมที่ปิดกั้น

ลองมาหาคำตอบที่ยั่งยืนจากทฤษฎี Flow Culture ที่มองว่า คำตอบขององค์กรยุคใหม่ คือ ต้องสร้างวัฒนธรรมที่ปลุกไฟให้คนกล้าคิด กล้าทำ และกล้าล้มเหลว เพราะในที่สุดแล้ว นวัตกรรม ไม่ได้เกิดจากคำสั่ง แต่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนในองค์กร “กล้าคิดต่าง” และ “กล้าลงมือทำ”

คนเก่งไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ถ้าไอเดียของเขาถูกปล่อยให้ตาย

หลายองค์กรทุ่มเทอย่างหนักเพื่อตามหาคนเก่งที่สุด ลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย สร้างแผนกลยุทธ์ที่ซับซ้อน แต่กลับมองข้ามสิ่งสำคัญที่สุด คือ สภาพแวดล้อมที่ทำให้คนเก่งสามารถเข้าสู่ภาวะ Flow และเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคตขององค์กรได้จริง

ในฐานะที่ปรึกษาด้านพัฒนาองค์กร เราเห็นความเป็นจริงซึ่งน่ากังวล นั่นก็คือ พนักงานที่มีไฟ เสนอโปรเจกต์ที่อาจพลิกโฉมธุรกิจ แต่กลับต้องเผชิญกับคำถามที่ไร้คำตอบ เช่น “ใครจะรับผิดชอบถ้ามันล้มเหลว ?” หรือ “เราทำแบบนี้มาตลอด ทำไมต้องเปลี่ยน ?” สุดท้าย ไอเดียเหล่านั้นก็หายไปอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับความหวังของคนที่กล้าคิดต่าง

เบื้องหลัง Flow Culture จากทฤษฎีสู่ระบบที่ปลุกไฟความคิดสร้างสรรค์

แนวคิด Flow Culture มีรากฐานมาจากงานวิจัยของศาสตราจารย์ Mihaly Csikszentmihalyi นักจิตวิทยา
ผู้บุกเบิกทฤษฎี Flow ได้อธิบายถึงภาวะที่บุคคลมีสมาธิสูงสุดจดจ่อกับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่ และเกิดความสุขจากการสร้างสรรค์ ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นภาวะส่วนบุคคลเท่านั้น แต่เขายังเสนอโมเดลที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ System Model of Creativity อันประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ บุคคล ที่มีแรงบันดาลใจและทักษะ สังคม ที่ทำหน้าที่คัดกรองและรับรองไอเดีย (เช่น ผู้จัดการหรือผู้บริหาร) และ วัฒนธรรม ที่เป็นกรอบความเชื่อและคลังความรู้ขององค์กร

เมื่อทั้ง 3 องค์ประกอบทำงานร่วมกันอย่างสมดุล ความคิดสร้างสรรค์จะไม่ใช่แค่ไอเดียที่ดี แต่จะกลายเป็นนวัตกรรมที่ส่งผลต่อองค์กร ไอเดียคือพลังงานที่ต้องการพื้นที่ในการเคลื่อนไหว หากองค์กรไม่ใช่สนามทดลองที่เปิดให้คนได้ลองผิดลองถูก แต่กลับเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบและความกลัว นวัตกรรมก็ไม่มีวันเกิดขึ้น

เมื่อสนามไม่มีให้เล่น วิกฤตเงียบในองค์กรก็เกิด

องค์กรที่ไม่มีวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ พื้นที่ที่ควรจะเป็นสนามแห่งการทดลองกลับกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความกลัว อาทิ กลัวที่จะล้มเหลว กลัวที่จะถูกมองว่า “แตกต่าง” กลัวที่จะถูกตั้งคำถามว่า “ทำไมไม่ทำตามระบบเดิม”

แน่นอนว่า ความกลัวเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากตัวบุคคล แต่เกิดจาก “ระบบ” และ “วัฒนธรรม” ที่ไม่อนุญาตให้ใครก้าวออกจากกรอบ เพราะเมื่อไม่มีพื้นที่ให้ความคิดได้เคลื่อนไหว ไอเดียใหม่ ๆ ก็ไม่เกิด และเมื่อไม่มีพื้นที่ให้ล้มเหลว ความกล้าที่จะริเริ่มก็จะค่อย ๆ หายไป และเมื่อไม่มีพื้นที่ให้เติบโต คนเก่งก็จะค่อย ๆ เดินจากไป ซึ่งคำตอบก่อนหน้านี้ที่มองว่า คนเก่งทยอยลาออกนั้น จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เพราะเงินเดือน แต่เพราะ “หมดหวัง” กับระบบที่ไม่ฟังเสียงของความคิดใหม่

รวมถึงประเด็นสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าการลาออก คือ การที่คนเก่งยังคงอยู่ในองค์กร แต่พวกเขาเลิกคิด เลิกเสนอ และเลิกเชื่อว่า ไอเดียของตัวเองจะเป็นจริง นั่นคือสัญญาณของวิกฤตเงียบที่กำลังกัดกินศักยภาพขององค์กรจากภายใน

สร้าง Innovation Playground : พื้นที่ที่ปลุกไฟนวัตกรรม

หากคุณต้องการให้องค์กรของคุณขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง คุณต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ควบคุมความเสี่ยง” มาเป็น ผู้ออกแบบพื้นที่แห่งการทดลอง ผู้ที่สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนได้กล้าคิด กล้าทำ และกล้าล้มเหลว โดยไม่ถูกตัดสิน

Innovation Playground ไม่ใช่พื้นที่ที่ไร้ระเบียบ แต่คือพื้นที่ที่มี “ขอบเขตที่ยืดหยุ่น” เพื่อให้ความคิดสร้างสรรค์ได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระและมีเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น

Google คือหนึ่งในองค์กรที่ออกแบบสนามแห่งนวัตกรรมได้อย่างชัดเจน ด้วยวัฒนธรรมแบบ Open-ended ผ่านแนวคิด “20% Time” ที่เปิดโอกาสให้พนักงานใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับโปรเจกต์ที่ตนเองสนใจ แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับงานหลักโดยตรงก็ตาม ผลลัพธ์คือ การเกิดนวัตกรรมระดับโลก เช่น Google News และ AdSense ซึ่งทั้งหมดเริ่มต้นจากพื้นที่ที่เปิดให้ “เล่น” อย่างจริงจัง

หรือ Amazon สร้างสนามที่ยอมรับความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของเกม ด้วยวัฒนธรรม “Fail Fast” ที่มองว่าความล้มเหลวและนวัตกรรมเป็นฝาแฝดที่แยกจากกันไม่ได้ การทดลองที่ล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่คือข้อมูลที่นำไปสู่การปรับปรุงอย่างรวดเร็ว และนี่คือกลไกสำคัญที่ทำให้ Amazon พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง

หมายความว่า กรอบคิดจากทฤษฎี Flow Culture ไม่ได้เกิดจากการสั่งให้คน “คิดนวัตกรรม” แต่เกิดจากการออกแบบสนามที่เอื้อต่อการเล่น ทดลอง และเรียนรู้ โดยมีผู้นำองค์กรเป็น ผู้ออกแบบพื้นที่แห่งความกล้า ที่เปิดทางให้ความคิดใหม่ได้เติบโตอย่างแท้จริง

ความคิดสร้างสรรค์ VS นวัตกรรม สองคำที่ต้องไปพร้อมกัน

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) คือ “ไอเดีย” ที่ใหม่และมีคุณค่า ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากภาวะ Flow ของบุคลากร ในขณะที่ นวัตกรรม (Innovation) คือการนำ “ไอเดีย” นั้นไป “ทำให้เกิดเป็นจริง” ในสังคมหรือองค์กร ดังนั้น การที่องค์กรมีแต่ความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่มีระบบที่เอื้อให้เกิดนวัตกรรม ก็เหมือนการมีเมล็ดพันธุ์ที่ดี แต่ไม่มีดินที่อุดมสมบูรณ์ให้มันเติบโต

ถึงเวลาที่ CEO ต้องเปลี่ยนบทบาท

การลงทุนใน Flow Culture จึงไม่ใช่แค่การจัดอบรมพนักงานให้มีทักษะ แต่คือการลงทุนในตัวผู้บริหารเอง ให้มีทัศนคติที่เปิดกว้างและพร้อมที่จะสนับสนุนไอเดียที่แหวกแนว เพื่อให้องค์กรสามารถสร้างวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ได้อย่างแท้จริง

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่องค์กรจะต้องเผชิญในโลกปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่า การนิ่งเฉยอาจเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่กว่ามาก

มาถึงตรงนี้ อยากจะบอกว่า คุณพร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนความคิดให้เป็นพลังขับเคลื่อนแห่งอนาคต ?

เราขอเชิญคุณร่วม “Innovation Driver Survey” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยวิเคราะห์ระดับความคิดสร้างสรรค์และระบบนิเวศการทำงานในองค์กรของคุณได้อย่างละเอียด โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้คุณได้เห็นภาพที่ชัดเจนและสามารถกำหนดทิศทางในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมที่ยั่งยืนได้อย่างตรงจุด

“เพราะไอเดียดี ๆ ไม่ควรตายเพราะระบบที่ไม่พร้อม”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายการให้คำปรึกษา กรุณาติดต่อที่ info@bcon.asia

 

เขียนและเรียบเรียง : สาวิตรี ตรีอรุณ Sales Executives บริษัท Business Consultants South East Asia Co., Ltd

ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+  : https://lin.ee/pbIHCuS

IG  : https://www.instagram.com/businessplus.th/

Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829

#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business