ส่องผลงาน 4 ยักษ์ใหญ่โรงไฟฟ้า GULF-BGRIM-SSP-GPSC ไตรมาส 2/66 ใครเจ๋งสุด?

เข้าสู่ช่วงของการประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/66 ของเหล่าบริษัทหลักทรัพย์กันแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเฝ้าจับตาดูงบการเงินของบริษัทที่กำลังถือหุ้นอยู่ หรือมีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกับบริษัทฯ เพื่อสำรวจภาพรวมของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ของกิจการนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ผู้มักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อผู้คนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในแง่ของค่าใช้จ่ายที่นับวันก็ดูเหมือนจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ในวันนี้ Business+ จึงได้ทำการหยิบยกงบการเงินของ 4 บริษัทกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ในกลุ่มที่ได้ทำการประกาศผลงานประจำไตรมาส 2/66 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF  มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 2,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.47% จากไตรมาส 2/65 ที่มีกำไรสุทธิ 1,531 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นตามทิศดียวกับ Core Profit โดยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมของโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่มบริษัทฯ และกำไรจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPPs ที่ฟื้นตัวจากราคาขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/66 มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่กระทบบริษัทใหญ่และกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากตราสารอนุพันธ์รวมเป็นผลขาดทุนสุทธิ671 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าในไตรมาส 2/65 ที่มีขาดทุนจากการการดังกล่าวสุทธิ1,551 ล้านบาท

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 678 ล้านบาท จากไตรมาส 2/65 มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 193 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากปรับขึ้นของค่า Ft และผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตราคาก๊าซธรรมชาติในช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 228 ล้านบาท ลดลง 64.42% จากไตรมาสมาส 2/66 ที่มีกำไรสุทธิ 641 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการขายโครงการฮิดากะ ค่าแสงที่ลดลงจากโครงการในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการเงินรวมถึงภาษีเงินได้ที่เพิ่มสูงขึ้น

บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 309 ล้านบาท ลดลง 54.77% จากไตรมาส 2/65 ที่มีกำไรสุทธิ 684 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ลดลง จากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน XPCL ลดลง 477 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณน้ำลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณน้ำมากกว่าปกติ ประกอบกับส่วนแบ่งผลขาดทุนจาก CFXD เพิ่มขึ้น 132 ล้านบาท จากการหยุดเดินเครื่องกังหันลมเพื่อเชื่อมต่อและทดสอบระบบ อักทั้งรายได้อื่นลดลง จำนวน 276 ล้านบาท สาเหตุหลักจากในไตรมาส 2/65 บริษัทฯ รับรู้กำไร (ก่อนหักภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) จากการขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ ให้แก่ บริษัท นูออโว พลัส จำกัด จำนวน 388 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ได้รับค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (Availablility Payment) สูงขึ้น เนื่องจากไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 2/66 ขณะที่ผลการดำเนินงานในส่วนของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการปรับตัวสูงขึ้นของค่า Ft ทำให้ margin จากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเพิ่มสูงขึ้น และปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงตามการหยุดซ่อมบำรุงของลูกค้าก็ตาม

สำหรับแนวโน้มธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่กลุ่มโรงไฟฟ้านั้น ถือว่ายังเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยอ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 65 ราชกิจจานุเบกษาประกาศระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยเรื่องการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ปี 2022-2030 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ภายใต้แผน PDP2018 revision 1 โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์คุณสมบัติและความพร้อมทางด้านเทคนิคที่กำหนด ทั้งนี้ประเภทเชื้อเพลิงที่เปิดให้เสนอขายจำนวนรวม 5,203 MW แบ่งเป็น

1.พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 1,000MW

2.พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 2,368MW

3.พลังงานลม 1,500MW

4.ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) 335MW

โดยจะมีการเปิดให้ผู้สนใจยื่นเสนอขายไฟฟ้าสำหรับโครงการดังกล่าวในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2565 และคาดว่าจะประกาศผลได้ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2566

ซึ่งบล.ดาโอฯ มีมุมมองเป็นบวกกับกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะบริษัทที่มีประสบการณ์ให้การพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงการตามประกาศดังกล่าว ซึ่งจะเป็น potential growth ได้ในอนาคตหากได้โครงการไปพัฒนา

โดยบล.ดาโอฯ มองว่าการที่ GUNKUL ได้ผนึกกำลังกับ GULF เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้โครงการมาพัฒนาเพิ่มเติม ขณะที่ SSP มีโอกาสในการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมที่ดีและพอร์ตยังไม่ใหญ่ การได้โครงการเพิ่มเติมจะช่วงให้เห็น earnings impact อย่างมีนัยสำคัญ

ที่มา : set, InfoQuest

เขียนและเรียบเรียง : เพชรรัตน์ แสงมณี

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/

#Businessplus #TheBusinessplus #นิตยสารBusinessplus #กลุ่มโรงไฟฟ้า #หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า #กลุ่มไฟฟ้า #ธุรกิจไฟฟ้า #GULF #BGRIM #SSP #GPSC