Eat Am Are ร้านสเต๊กที่กำลังจะมี รายได้เป็นพันล้าน

จุดเริ่มต้นของร้านอยู่ที่ซอยรางน้ำ ถนนพญาไท โดยคุณธัช เกษมสิทธิโชค ได้เปิดร้าน Eat Am Are แห่งแรกที่นี่ และได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดี ทำให้ตัดสินใจขยายสาขาโดยโฟกัสโซนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในช่วงแรกก่อน แล้วถึงค่อยขยายไปทั่วกรุงเทพฯ

จุดขายของ Eat Am Are ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือปริมาณอาหารต่อจานที่เยอะ ราคาที่ไม่แพงมาก และรสชาติที่ถูกปาก โดยแต่ละจานจะราคาประมาณ 100 – 300 บาท เท่านั้น และทางร้านยังออกแบบเมนูให้มีความหลากหลายและมีเครื่องเคียงให้เลือกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นของทอดต่าง ๆ รวมไปถึงข้าวผัด สปาเก็ตตี และมันบด เป็นต้น ซึ่งการที่มีเมนูและเครื่องเคียงที่หลากหลายและรสชาติถูกปากนี้ก็เป็นปัจจัยช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามากขึ้น ทำให้อยากกลับมารับประทานที่ร้านอีกครั้ง

หากดูที่ราคาแล้ว ร้าน Eat Am Are แข่งอยู่ในตลาดแมส ซึ่งผู้เล่นหลัก ๆ ในตลาดไทยก็จะมีอยู่ 3 เจ้าด้วยกัน ได้แก่

-ร้านเจฟเฟอร์ สเต๊ก

-ร้านซานตาเฟ่

-ร้านสเต๊กลุงหนวด

จะสังเกตได้ว่าในบรรดาร้านทั้งหมดที่กล่าวมา มีแค่ร้าน Eat Am Are ที่ไม่เคยใช้แฟรนไชส์ในการขยายสาขาเลย ซึ่งถ้าไปดูจำนวนสาขารวมแล้ว ร้าน Eat Am Are มีสาขาในปัจจุบันเพียงแค่ 19 สาขาเท่านั้น ในขณะที่ร้านอื่น ๆ มีกันหลายสิบสาขา

เหตุผลที่ Eat Am Are ไม่ขายแฟรนไชส์ และขยายสาขาแบบค่อยเป็นค่อยไปนี้ก็น่าจะเพราะว่าทางร้านโฟกัสกับการรักษามาตรฐานคุณภาพสินค้า เพราะถ้าบริษัทเน้นการขยายสาขาเพียงอย่างเดียวก็จะทำให้ควบคุมมาตรฐานรสชาติหรือขนาดของเนื้อสเต๊กได้ยาก

โดยในช่วงแรก Eat Am Are จะเน้นขยายสาขาไปตามคอมมูนิตี้ มอลล์ เพื่อควบคุมต้นทุนค่าเช่าไม่ให้แพงจนเกินไป หลังจากนั้นเมื่อแบรนด์ติดตลาดจึงเริ่มมีการขยายสาขาไปยังห้างสรรพสินค้า ที่มีค่าเช่าแพงกว่า โดยไม่กี่เดือนก่อน Eat Am Are เพิ่งเปิดให้บริการสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลเวิร์ล และก็กำลังจะเปิดสาขาใหม่ที่ Mega Bangna ในอีกไม่นาน

แล้วถ้าเทียบรายได้กับกำไรที่ผ่านมาของผู้เล่นแต่ละรายเป็นอย่างไรบ้าง

บริษัท เจ.เอส.ซี.คิทเช่น จำกัด หรือร้านเจฟเฟอร์ สเต๊ก (งบการเงินปีล่าสุดคือปี 2564)

ปี 2564 รายได้ 150 ล้านบาท ขาดทุน 25 ล้านบาท

ปี 2563 รายได้ 312 ล้านบาท ขาดทุน 30 ล้านบาท

ปี 2562 รายได้ 522 ล้านบาท ขาดทุน 73 ล้านบาท

บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เจ้าของร้านซานตาเฟ่

ปี 2566 รายได้ 1,061 ล้านบาท ขาดทุน 37 ล้านบาท

ปี 2565 รายได้ 1,108 ล้านบาท กำไร 3 แสนบาท

ปี 2564 รายได้ 719 ล้านบาท ขาดทุน 92 ล้านบาท

บริษัท สเต็กลุงหนวด. จำกัด เจ้าของร้านสเต๊กลุงหนวด

ปี 2566 รายได้ 433 ล้านบาท กำไร 20 ล้านบาท

ปี 2565 รายได้ 416 ล้านบาท กำไร 11 ล้านบาท

ปี 2564 รายได้ 350 ล้านบาท กำไร 17 ล้านบาท

บริษัท อีท แอม อา กรุ๊ป จำกัด เจ้าของร้าน Eat Am Are

ปี 2566 รายได้ 772 ล้านบาท กำไร 4.2 ล้านบาท

ปี 2565 รายได้ 495 ล้านบาท กำไร 4.2 ล้านบาท

ปี 2564 รายได้ 271 ล้านบาท กำไร 2.2 ล้านบาท

ปี 2563 รายได้ 227 ล้านบาท กำไร 1.9 ล้านบาท

ปี 2562 รายได้ 280 ล้านบาท กำไร 2.5 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าบริษัทเจ้าของเจฟเฟอร์กับซาตาเฟ่กำลังเจอปัญหา ในขณะที่บริษัทเจ้าของสเต๊กลุงหนวดและ Eat Am Are มีรายได้โตต่อเนื่อง ถึงแม้ตัวเลขกำไรยังไม่ค่อยโตตามรายได้เท่าไรนัก ซึ่งถ้าเราคำนวณอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีของ Eat Am Are ในช่วง 5 ห้าปีย้อนหลังจะพบว่าอยู่ที่ 22.5% ต่อปี ดังนั้นถ้าในปี 2567 ทางร้านสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตได้เท่ากับค่าเฉลี่ยก็จะมีรายได้ประมาณ 945 ล้านบาท แต่ถ้าสร้างการเติบโตได้ถึง 30% Eat Am Are ก็จะมีรายได้ถึง 1,002 ล้านบาท

 

ที่มา: กรมธุรกิจการค้า

ผู้เขียนและเรียบเรียง: พรบวร จิรภัทร์วงศ์

ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus

Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829