ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผู้คนต้องการสินเชื่อระยะสั้นและบริการทางการเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้น “Easy Money” ได้กลายเป็นชื่อที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ ของตลาดโรงรับจำนำไทย ด้วยภาพลักษณ์ทันสมัย โปร่งใส และเข้าถึงง่าย ทำให้แบรนด์สามารถขยายสาขาอย่างมั่นคงและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทั่วประเทศ จนก้าวขึ้นเป็นโรงรับจำนำเอกชนที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในไทย
โดยตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา Easy Money ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อลบภาพจำเดิมของโรงรับจำนำที่เคยถูกมองว่าเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” สู่การเป็นสินเชื่อทรัพย์ค้ำประกันที่มอบประสบการณ์ใหม่ มีมาตรฐาน และเข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน

การเดินทางของ Easy Money เริ่มต้นขึ้นในปี 2548 ด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนมุมมองของสังคมต่อโรงรับจำนำ ผ่านการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากภาพจำแบบเดิม ๆ ภายใต้การบริหารของคุณสุธี พนาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้วางรากฐานให้องค์กรเติบโตด้วยมาตรฐานการบริการที่สูงและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ที่สำคัญเขายังผลักดันให้ธุรกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นการพัฒนาเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้บริษัทค่อย ๆ เปลี่ยนภาพลักษณ์จากโรงรับจำนำแบบดั้งเดิมสู่ผู้ให้บริการทางการเงินรายย่อยที่ทันสมัยมากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป ความมุ่งมั่นดังกล่าวได้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนผ่านผลประกอบการของบริษัท โดยเฉพาะในปี 2568 ซึ่ง Easy Money สร้างรายได้รวม 11,997 ล้านบาทในช่วง 10 เดือนแรก เติบโต 2.68% จากปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึง 1,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 43.96% นอกจากนี้บริษัทมียอดพอร์ตสินเชื่อคงค้างสูงถึง 27,000 ล้านบาท แสดงถึงบทบาทสำคัญในตลาดสินเชื่อรายย่อยและความเชื่อมั่นจากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งของบริษัท คือ การได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อรวม 3,000 ล้านบาทจาก 3 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารออมสิน และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนถึงความเชื่อมั่นที่สถาบันการเงินมีต่อโมเดลธุรกิจของ Easy Money
ไม่เพียงเท่านั้น เส้นทางการเติบโตของ Easy Money ยังเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญหลายช่วงเวลา เริ่มตั้งแต่การครบรอบ 10 ปีในปี 2558 ก่อนจะขยายบริการด้วยการเปิด “Easy Money Shop” ในปี 2560 ต่อมาในปี 2563 บริษัทได้รับการจัดอันดับให้เป็นโรงรับจำนำอันดับหนึ่งที่คนไทยนึกถึงจากการสำรวจของจุฬาฯ และซูเปอร์โพล ซึ่งถือเป็นการยืนยันความนิยมที่แบรนด์สร้างมาอย่างยาวนาน อีกทั้งในช่วงเวลาเดียวกันยังเปิดตัวแอป Easy Smart เพื่อให้ลูกค้าสามารถส่งดอกเบี้ยออนไลน์ เพิ่มความสะดวกสอดรับกับยุคดิจิทัล
หลังจากนั้น การเติบโตของบริษัทก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อในปี 2564 Easy Money เริ่มขยายสาขาสู่กรุงเทพมหานคร ทำให้เข้าถึงฐานลูกค้าในเขตเมืองได้กว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมีสาขาถึง 98 แห่ง ครอบคลุม 33 จังหวัดทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2568 บริษัทยังคว้ารางวัล Top CEO Award พร้อมเปิดบริการสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Asset-Backed Financing) เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการวงเงินสูงขึ้น และขยายโอกาสใหม่ในตลาดสินเชื่อทางเลือก
นอกเหนือจากการขยายตัวทางธุรกิจ ปัจจัยที่ทำให้ Easy Money ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือความสามารถในการประเมินสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ทองคำ เพชร กระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์เนม รวมถึงเครื่องมือช่างและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่ร้านรับจำนำให้ราคาดี ทำให้ลูกค้าสามารถนำทรัพย์มาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้คุ้มค่า ขณะเดียวกันบริษัทก็สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพรวมตลอดหลายปีที่ผ่านมา Easy Money ถือเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่นำความทันสมัย เทคโนโลยี และความโปร่งใสเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมโรงรับจำนำแบบดั้งเดิมให้ทันยุคสมัยใหม่ การเติบโตของสาขา ผลประกอบการที่แข็งแรง รวมถึงการขยายบริการเพื่อรองรับลูกค้าทุกรูปแบบ ทำให้ Easy Money ยืนหยัดเป็นผู้นำในตลาดโรงรับจำนำไทย และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคตท่ามกลางความต้องการสินเชื่อรายย่อยที่เพิ่มขึ้น และ ด้วยการสนับสนุนจากสถาบันการเงินควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมบริการอย่างต่อเนื่อง Easy Money จึงยังคงเป็นแบรนด์ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะสถาบันสินเชื่อทางเลือกที่เชื่อถือได้ที่สุดรายหนึ่งของประเทศ
The Business Plus บิสิเนสพลัส

