เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีการ์ตูนหรือนิทานเรื่องโปรดที่โตมาด้วยกัน และมีภาพจำของตัวละครเหล่านั้นแตกต่างกันไป ซึ่งหากได้อ่านหรือได้เห็นคาแรกเตอร์ของตัวละครต่าง ๆ ก็ย่อมมีความคาดหวังว่าในสักวันหนึ่ง ตัวละครที่ชื่นชอบเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่ในโลกของภาพยนตร์ฉบับคนแสดงสักครั้ง โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่สร้างมาจากการ์ตูนหรือนิทานที่เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วโลก ย่อมเป็นที่คาดหวังของบรรดาแฟน ๆ เป็นธรรมดา ยิ่งหากภาพยนตร์นั้น ๆ ถูกสร้างโดยค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของโลก ยิ่งเพิ่มความคาดหวังที่มีต่อภาพยนตร์ขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เช่นเดียวกับค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง ‘The Walt Disney’ ที่ได้หยิบยกเอาตัวละครจากนิทานเรื่องดังที่ทำให้ค่ายนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและรันวงการภาพยนตร์มาอย่างยาวนานมานำเสนอใหม่ในรูปแบบ Live Action หรือก็คือการนำเนื้อเรื่องจากนิทาน, การ์ตูน หรือแอนิเมชั่นมานำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์ โดยใช้คนแสดงนั่นเอง
ซึ่งก่อนหน้านี้ทางค่ายก็ได้มีการนำเอานิทานและการ์ตูนยอดฮิตมาทำเป็นภาพยนตร์ Live Action ไปแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Maleficent (เข้าฉายในปี 2014), Cinderella (เข้าฉายในปี 2015), The Jungle Book (เข้าฉายในปี 2016), Beauty and the Beast (เข้าฉายในปี 2017), Dumbo (เข้าฉายในปี 2019), Aladdin (เข้าฉายในปี 2019), Mulan (เข้าฉายในปี 2020) ซึ่งก็ถือว่าได้รับการตอบรับจากบรรดาผู้ชมเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเนื้อหาของภาพยนตร์มาจากเรื่องที่ผู้ชมรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว และอีกส่วนคือการที่ทางค่ายมีการคัดเลือกนักแสดงที่ตรงตามคาแรกเตอร์ในเนื้อหาจากต้นฉบับ (จากที่ทาง Disney เคยนำเสนอ)
และในปี 2023 นี้ ทาง ‘Disney’ ก็ได้หยิบยกเอาอีกหนึ่งตัวละครที่มีผู้คนหลงรักเป็นจำนวนมากมานำเสนอในภาพยนตร์ Live Action อีกครั้ง นั่นก็คือ ‘The Little Mermaid’ แต่การหยิบยกตัวละครชื่อดังมาทำเป็นภาพยนตร์ในครั้งนี้กลับสร้างความฮือฮาให้กับผู้คนไปทั่วโลก เนื่องจากทาง ‘Disney’ ได้ลบทุกภาพจำของตัวละครเอกในเรื่องอย่าง ‘แอเรียล’ ที่ฉบับการ์ตูนจะเป็นเงือกสาวผิวขาว ผมแดง ไปเป็นสาวเป็นดำที่มีทรงผมเดรดล็อกแทน ซึ่งจากประเด็นนี้ ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทันทีที่มีข่าวการคัดเลือกนักแสดงออกมา ซึ่งในบรรดาผู้ที่แสดงความคิดเห็นก็มีทั้งฝั่งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยฝั่งที่เห็นด้วยก็มองว่านางเงือกควรจะมีได้หลากหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องยึดติดตามแบบต้นฉบับเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยก็มองว่าการสร้างภาพยนตร์ Live Action ควรคัดเลือกนักแสดงตามภาพจำของการ์ตูน เพราะผู้ที่ชื่นชอบตัวละครเหล่านี้ ต่างก็มีความคาดหวังว่าจะได้เห็นตัวละครที่ตนชื่นชอบจากโลกการ์ตูนมาโลดแล่นในโลกภาพยนตร์อย่าง ‘ตรงปก’ คือมีความเหมือนหรือใกล้เคียงกับตัวการ์ตูนเหล่านั้นมากที่สุด
โดยตลอดระยะเวลานับตั้งแต่มีข่าวการคัดเลือกนักแสดงจนกระทั่งวันที่ภาพยนตร์ออกฉาย ก็ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าจะมีการโปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างหนักในทุกช่องทาง แต่กระแสเงือกน้อยที่ ‘ไม่ตรงปก’ ก็ส่งผลต่อรายได้ของภาพยนตร์ไม่มากก็น้อย โดยภาพยนตร์ ‘The Little Mermaid’ กวาดรายได้จากทั่วโลกไปได้เพียง 568 ล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างอิงจากเว็บไซต์ ‘Box Office Mojo’ ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับบอกรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ) จากทุนสร้าง 250 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งสวนทางกับคู่แข่งอย่าง ‘Warner Bros.’ ที่ได้หยิบเอาตัวละครจากการ์ตูนขวัญใจผู้คนจำนวนมากจากทั่วโลกอีกหนึ่งเรื่องอย่าง ‘Barbie’ มาโลดแล่นในโลกภาพยนตร์ในรูปแบบ Live Action เช่นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างจากฝั่งของ ‘The Walt Disney’ ตรงการคัดเลือกนักแสดง ที่ทาง ‘Warner Bros.’ ได้ทำการคัดเลือกนักแสดงให้มีความใกล้เคียงกับต้นฉบับที่อยู่ในความทรงจำของผู้ชมมากที่สุด ซึ่งนั่นทำให้ภาพยนตร์ ‘Barbie’ ที่เข้าฉายในปีเดียวกัน ทำรายได้ถล่มทลาย โดยล่าสุดกวาดรายได้ไปแล้วถึง 1,289 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 145 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลักดันให้ภาพยนตร์ ‘Barbie’ ขึ้นแท่นภาพยนตร์ทำเงินเป็นอันดับ 2 ของปี รองจากภาพยนตร์ ‘The Super Mario Bros. Movie’ ที่ทำรายได้ไว้ที่ 1,359 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก็แน่ว่าอาจจะต้องเสียแชมป์ให้กับ ‘Barbie’ ที่ยังคงมีรอบฉายอยู่ ณ ปัจจุบัน
จึงทำให้เห็นความแตกต่างของการเคารพต้นฉบับในความทรงจำของผู้ชมได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งตัวละครของ ‘แอเรียล’ และ ‘Barbie’ ต่างก็มีฐานแฟนคลับที่มีความชื่นชอบตัวละครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความท้าทายจึงตกไปอยู่ที่ทางผู้สร้างภาพยนตร์ว่าจะสามารถนำเสนอตัวละครเหล่านี้ให้ออกมาตรงตามความต้องการของกลุ่มผู้ชมเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งจากความแตกต่างของรายได้จากการฉายภาพยนตร์ของทั้ง 2 เรื่องนี้ ทำให้เห็นว่าการเคารพต้นฉบับและเคารพความต้องการของบรรดาผู้ชมภาพยนตร์ประเภทนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งทาง ‘Disney’ อาจจะมองข้ามไป
นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์ ‘The Little Mermaid’ เป็นเสมือนบทเรียนที่สำคัญของ ‘Disney’ คือการปิดตัวลงของ ‘Lucasfilm’ สิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของ ‘Disney’ โดยการปิดตัวลงนี้ สืบเนื่องมาจากการปรับลดต้นทุนของทาง ‘Disney’ นั่นเอง เนื่องจากในไตรมาส 3 ของปี 2023 นี้ ‘Disney’ ทำผลงานได้ไม่ดีถึงขั้นที่เรียกว่า ‘เจ็บหนัก’ หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2022 โดยผลประกอบการ Q3/2023 มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 460 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก Q3/2022 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,409 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากจะเจาะลึกไปกว่านั้นคือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับยอดขายภาพยนตร์ ในช่องผลประกอบการด้านคอนเทนต์และผลงานลิขสิทธิ์มีผลขาดทุนสูงถึง 243 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก Q3/2022 มีผลขาดทุนอยู่ที่ 27 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการขาดทุนเพิ่มขึ้นมากถึง 8 เท่าตัว
จากข้อมูลเหล่านี้ จึงเปรียบเสมือน ‘บทเรียนครั้งสำคัญ’ ที่อาจจะทำให้ทาง ‘The Walt Disney’ อาจจะต้องกลับไปทบทวนการการดำเนินธุรกิจอีกครั้ง และแน่นอนว่าย่อมเกี่ยวข้องกับการสร้างภาพยนตร์ที่นอกจากจะต้องคำนึงถึงเนื้อหาแล้ว ยังต้องเคารพผู้ชมอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น หากจะโทษว่าภาพยนตร์ ‘The Little Mermaid’ เป็นแผลของค่ายก็อาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว ดังนั้น อาจจะต้องรอชมรายได้จากภาพยนตร์ Live Action อีกเรื่องของทางค่ายที่มีการคัดเลือกนักแสดงให้แตกต่างจากภาพจำของผู้ชมอีกเรื่องอย่าง ‘Snow White’ ว่าจะได้รับกระแสตอบรับจากบรรดาผู้ชมและแฟน ๆ ของตัวละครนี้อย่างไร
ที่มา : boxofficemojo, businessinsider, thewaltdisneycompany
เขียนและเรียบเรียง : เพชรรัตน์ แสงมณี
ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/
#Businessplus #TheBusinessplus #นิตยสารBusinessplus #Disney #TheWaltDisney #แอเรียล #TheLittleMermaid