ดร.สมพร สืบถวิลกุล ผู้นำ ขับเคลื่อน “ทิพยประกันภัย” สู่ความยั่งยืน

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ผู้นำ ขับเคลื่อน “ทิพยประกันภัย” สู่ความยั่งยืน

ในยุคที่ความคาดหวังของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังรุกคืบเข้าสู่ทุกมิติของชีวิตประจำวัน การแข่งขันทางธุรกิจ ไม่ได้อยู่ที่เพียงแค่คุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือราคาอีกต่อไป แต่อยู่ที่ “ประสบการณ์ของลูกค้า” ที่สามารถสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง

หนึ่งในองค์กรที่สามารถยืนหนึ่งเรื่องประสบการณ์ลูกค้าอย่างมั่นคงก็คือ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยท่านได้รับเกียรติสูงสุดเข้ารับรางวัล CEO OF THE YEAR 2025 ในงาน THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2025 โดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับนิตยสาร BUSINESS+ จัดมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้

“สองนคราประชาธิปไตย” ยุทธศาสตร์บริหารความสำเร็จจาก “ทิพยประกันภัย”

ต้องยอมรับว่า เบื้องหลังความสำเร็จ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) นั้น เกิดจากคีย์แมนคนสำคัญที่เป็น “ผู้นำ” องค์กร ซึ่งท่านได้วางแนวทางการบริหารได้ครบทุกมิติ โดยเฉพาะแนวคิดด้านการบริหารคน ท่านสามารถบูรณาการความหลากหลายของบุคลากรหลากหลายรุ่นในองค์กร จนกลายเป็นพลังขับเคลื่อนใหม่ที่เรียกว่า “สองนคราประชาธิปไตย”

“สองนคราประชาธิปไตย” ไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรยหรูหรา หากแต่เป็นแก่นของยุทธศาสตร์บริหารคนที่ ดร.สมพร ยึดถือและประยุกต์ใช้จนเกิดการยอมรับและให้คุณค่ากับคนสองกลุ่มหลักในองค์กรได้อย่างกลมกลืน โดยกลุ่มคนที่อยู่มาตั้งแต่การให้บริการแบบดั้งเดิม ที่ไม่สันทัดเทคโนโลยี แต่มีจุดแข็งในการให้บริการและดูแลลูกค้า เราก็จะให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาถนัด และคนที่พร้อมเปลี่ยนตัวเองไปใช้เทคโนโลยี เราก็จะให้เขาพัฒนาตัวเอง และมุ่งเน้นไปที่การให้บริการโปรดักส์ใหม่ ๆ ซึ่งทำให้เกิดความสมดุลทั้ง 2 ด้าน ดร.สมพร ให้ข้อมูลพร้อมกล่าวต่อว่า

ทิพยประกันภัย เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อน Human Capital ดังนั้น คนทำงานในยุคแรกหรือกลุ่มดั้งเดิมที่มีประสบการณ์ ที่เข้าใจโครงสร้างธุรกิจและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก็เป็นแกนกำลังสำคัญ ในขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ (Digital Native) ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าเปลี่ยนแปลง และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ ซึ่งผมมองว่าคนทำงานทั้ง 2 กลุ่มเป็นพลังขับเคลื่อนของทิพยประกันภัยที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา

การนำแนวคิดมาสู่การปฏิบัติที่เป็นเลิศ

จากแนวคิด “สองนคราประชาธิปไตย” ที่ทาง ดร.สมพร นำมาปรับใช้ส่งเสริมให้คนสองรุ่นทำงานร่วมกัน พร้อม ๆ กับการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่เอื้อให้ความแตกต่างกลายเป็นพลัง สู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ต้องยอมรับว่า “ทิพยประกันภัย” ในยุคของดร.สมพร แสดงให้เห็นว่า “การบริหารคน” คือหัวใจของการขับเคลื่อนองค์กรในโลกใหม่ อาทิ

รายได้รวมและกำไรสุทธิ เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงวิกฤต Covid-19 และเศรษฐกิจชะลอตัว โดยในแง่ผลประกอบการ มีเบี้ยประกันภัยรับ รวมทั้งสิ้น 32,827 ล้านบาท รวมถึงสัดส่วนทางการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจ Non-Motor ทิพยประกันภัย ครองอันดับหนึ่ง ด้วยส่วนแบ่งของการตลาดราว 20% และที่สำคัญ ทิพยประกันภัย มีอัตราการทำกำไร “ดีกว่า” เมื่อเทียบกับภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันภัยอื่น ๆ

ทิพยประกันภัย เข้ารับรางวัลบริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น “อันดับหนึ่ง” ติดต่อเป็นปีที่ 4 และรางวัลบริษัทประกันวินาศภัยที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ในงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards 2024) รวมถึงได้รับการจัดอันดับ Credit Rating AAA จาก Tris Rating อีกด้วย

“การได้รับรางวัลดีเด่นในหลายสถาบัน ย่อมหมายถึงแนวทางการทำงานที่กำหนดขึ้นจาก Framework ซึ่งผมไม่เชื่อในเรื่องของ One Size Fits All อีกต่อไปแล้ว เรามองว่าลูกค้าทุกคน โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ทุกคนอยู่รอบเทคโนโลยี เราสามารถจะ Tailor-Made สินค้าและบริการของเราได้ตามความต้องการลูกค้า โดยเราเป็นรายแรก หรือผู้นำตลาด อาทิ TIP อัพทูไมล์ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองตามระยะทางที่ใช้งานจริง โดยมีจุดเด่นคือ ความยืดหยุ่นในการเลือกแผนความคุ้มครองและการเติมไมล์ได้หากใช้ไม่หมด

หรือการออกกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้หญิง TIP Lady ซึ่งได้มีการปรับให้สอดคล้องกับความต้องการตลอดเวลา หรือเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ออกประกันภัย TIP Rainbow สำหรับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า บริการทั้งสามแบบนี้ที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมา เราประสบความสำเร็จมากในตลาด ซึ่งถามว่า ที่มาของงานแต่ละ Project เป็นอย่างไร ก็ต้องบอกว่า ผมให้คำแนะนำกับทีมตลอดจนพนักงานทุกคนว่า ผมมี Quote ที่ใช้อยู่เป็นประจำ เป็นข้อคิดในการทำงานแบบง่าย ๆ ว่า คิดจริง ทำจริง และจริงใจ

เหตุผลที่ใช้ 3 คำนี้คือ ทุกเรื่องที่ทิพยประกันภัย หรือผมจะลงมือทำงาน ต้องผ่านกระบวนการการคิดและศึกษาอย่างแท้จริง ให้เข้าใจถึงแก่นแท้ในเรื่องที่เราจะทำอย่างจริงจัง ซึ่งในขณะที่ถ้าเราตัดสินใจว่า เราจะดำเนินการเรื่องใด เราต้องทำงานแบบสู้เต็มที่ หรือกัดไม่ปล่อย

ผมพยายามที่จะบอกและสอนลูกน้องเสมอว่า เวลาคุณคิดจะออกผลิตภัณฑ์หรือบริการอะไรใหม่ ๆ ทุกคนต้องไปศึกษาและคิดแบบจริง ๆ จัง ๆ ว่าสิ่งที่คิดมานี้จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้จริง ? และหลังจากที่คิดรอบด้าน ศึกษาจากทุกวิถีแล้ว ถ้าเรามั่นใจว่า ใช่ ทุกคนก็ต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง

ผมมักจะบอกทีมงานเสมอว่า ถ้าคุณทำจริง ก็เป็นไปได้ว่าในครั้งแรกอาจจะผิดทางหรือทำผลงานได้ไม่ดี จึงต้องลองใหม่ เพื่อเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้น แล้วแก้ไขให้ดีขึ้น และข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ จริงใจ นั่นเพราะเรามีทั้งลูกค้า เรามีทั้งเพื่อนร่วมงาน เรามีทั้งลูกน้อง เรามีทั้งผู้ถือหุ้น โดยทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานั้น เราต้องมีความจริงใจกับเขา ถึงจะทำให้เราประสบความสำเร็จและได้รับความเชื่อถือ ได้รับความไว้วางใจ โดยเคล็ดลับในข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่ากับเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง คู่ค้า พันธมิตรทางการค้า และลูกค้าเราด้วย ถ้าเราได้รับความจริงใจที่เกิดขึ้นในทุกฝ่าย ทุกคนก็ยังเป็นพันธมิตรที่จะคอยส่งเสริมกันตลอดไป

จากคำกล่าวของดร.สมพร เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ท่านวางกลยุทธ์บริหารองค์กรได้แบบแยบยล เพราะส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะมองธุรกิจแค่ในมุม P Profit เท่านั้น แต่ ดร.สมพร สอนให้เรามองตัว P ตัวที่ 2 และ 3 ในมิติที่ลึกซึ้งมากขึ้น ในแง่ ‘People’ ท่านวางให้ P People สนุกกับงาน ให้คิดจริง ทำจริง และจริงใจ แล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเทิร์นเป็น P Profit ที่สูง คืนกลับมายัง “องค์กร” นั่นเอง