ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การรักษาสมดุลระหว่างการเติบโต ยอดขาย และความมั่นคงขององค์กร ถือเป็นศิลปะแห่งการบริหารที่แท้จริง และหนึ่งในผู้ที่ถ่ายทอดสิ่งนี้ได้อย่างน่าทึ่งคือ ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
รางวัลชนะเลิศ อุตสาหกรรมประกันวินาศภัย ที่ทิพยประกันภัยได้รับในเวที Thailand Top Company Awards 2025 จึงไม่ใช่เพียงรางวัลแห่งความสำเร็จในเชิงตัวเลข แต่คือผลลัพธ์จากการตระหนักรู้ในความเปลี่ยนแปลง และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่กล้าหาญ ภายใต้การนำของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
บริหารมีกลยุทธ์ สร้างความคุ้มค่าที่แตกต่าง เพื่อก้าวอย่าง “มั่นคง”
ที่ผ่านมา ทิพยประกันภัย เคยเป็นผู้นำตลาดประกันภัยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) แต่จากการวิเคราะห์แนวโน้มของการเติบโตในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่า การแข่งขันรุนแรง จัดโปรโมชันดุเดือด ซึ่งมีสัญญาณที่ชัดเจนว่า อัตราความเสียหายเคลมสินไหม (Loss Ratio) ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทิพยประกันภัยจึงตัดสินใจลดพอร์ตการรับประกันรถยนต์ EV ลงการตัดสินใจนี้ดูเหมือนจะ “สวนกระแส” เพราะเป็นการถอยจากตลาดที่ ทิพยประกันภัย เคยเป็นผู้นำ จนยอมเสียเบี้ยประกันกว่า 2,000 ล้านบาทออกไป แต่เชื่อหรือไม่ว่า การตัดสินใจครั้งนี้ กลับเป็นการถอยอย่างมีชั้นเชิง เป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจบั่นทอนผลประกอบการของทั้งองค์กรในอนาคต
และผลลัพธ์จากการ “กล้าถอย” ในเวลาที่เหมาะสม คือความสามารถในการรักษาอัตราการทำกำไรได้อย่างมั่นคง ขณะที่คู่แข่งหลายรายยังต้องแบกรับภาระขาดทุนจาก EV ที่แข่งขันกันด้วยราคาต่ำเกินจริง
“เราไม่ได้มุ่งทุกยอดขาย แต่เลือกรับเฉพาะงานที่มีคุณภาพ” เป็นอีกหนึ่งแนวคิดหลักที่ ดร.สมพร ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทาง Business+ เพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านกลยุทธ์ของบริษัทฯ จากเดิมที่เน้น Volume-Based Business สู่ Value-Based Business โดย ทิพยประกันภัย เลือกแนวทางที่จะ “ปรับเบี้ยให้สะท้อนความเสี่ยง” มากกว่าจะลดราคาตามตลาด ส่งผลให้ยอดขายลดลง แต่ในขณะเดียวกันก็ควบคุมความเสียหายและรักษาผลกำไรได้ดี
นอกจากแนวทางการปรับเบี้ยให้สะท้อนความเสี่ยงของแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ทั้งกับตัวลูกค้าและทิพยประกันภัย โดย ดร.สมพร เน้นย้ำถึงกลยุทธ์ Value for Money ซึ่งจะไม่ใช่ฐานลูกค้าที่หาเบี้ยประกันภัยที่ถูกที่สุดอย่างเดียว แต่มองหาความคุ้มค่าในทุก ๆ มิติ ที่จะได้จากทางบริษัทฯ อาทิ การพลิกโฉมทีมเคลมสำรวจภัยจาก “Surveyor” แบบเดิม ๆ สู่ “ TIP Smart Assist” โดยทีม TIP Smart Assist ไม่เพียงแต่มีเครื่องแบบและอุปกรณ์การทำงานใหม่ให้ทันสมัย รูปลักษณ์คล้ายนักแข่งรถ เพื่อเพิ่มความคล่องตัว สามารถปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วและปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ยังได้รับการฝึกฝนให้มี Service Mind สูง ใส่ใจลูกค้าในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการแจกน้ำดื่ม หรือร่ม ณ จุดเกิดเหตุ
ดร.สมพร บอกว่า ตนเองได้นำแนวคิดนี้มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับปรัชญา “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” (Customer-Centric Approach) ที่ทิพยประกันภัยยึดถือ ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ “เราเองก็มีโอกาสได้เลือกลูกค้า ลูกค้าก็มีโอกาสเลือกเรา” จนกลายเป็นพลังการตลาดแบบปากต่อปากได้อย่างมหาศาล กลายเป็น Talk of the Town และสร้าง Brand Loyalty ที่มั่นคง
และอีกหนึ่งเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของ ดร.สมพร คือการ “เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค” ให้ระบุชื่อ “ทิพยประกันภัย” โดยตรง เมื่อต้องการซื้อประกัน ไม่ใช่รอให้ตัวแทนเป็นผู้เลือก และนี่คือการยกระดับจาก “บริษัทประกัน” สู่ “แบรนด์ประกัน” ที่ผู้บริโภคไว้วางใจ ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น ตัวแทนก็ต้องมีทิพยประกันภัยในพอร์ต เพราะ “ลูกค้าเลือกเรา”
บริหารพอร์ตด้วยความสมดุล
ที่ผ่านมา ทิพยประกันภัย เคยเป็นผู้นำด้านประกันภัยรถยนต์ แต่ก็เลือกจะไม่ขยายตลาดนี้จนเกินพอดี โดยตั้งเป้าให้สัดส่วน Motor ไม่เกิน 30% ของพอร์ตทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และในขณะเดียวกันต้องบอกว่า ทิพยประกันภัย ยังคงความเป็น “เบอร์หนึ่ง” ในตลาด Non-Motor ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น ประกันสุขภาพ อุบัติเหตุ และธุรกิจ โดยแนวทางนี้ ดร.สมพร บอกว่า จะช่วยเสริมความมั่นคงขององค์กรและกระจายความเสี่ยงในระดับที่ยั่งยืน
“ยั่งยืนสำหรับเรา หมายถึง การเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การหาลูกค้า การประเมินความเสี่ยง จนถึงบริการหลังการขาย เช่นเดียวกับเรื่องของเทคโนโลยีที่วันนี้ไม่ได้เป็นแค่ “เครื่องมือ” แต่คือ “กลยุทธ์” ที่จะช่วยตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น โดยเรายังเน้นการประยุกต์ใช้ AI และนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด อาทิ สร้างองค์กรจากคนที่มีไอเดียใหม่ ๆ เสมอ ความสำเร็จทั้งหมดไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากปราศจากทีมงานที่แข็งแกร่ง
ทิพยประกันภัย จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร สร้างทีม “มืออาชีพ” ที่เข้าใจทั้งกลยุทธ์และจิตวิญญาณขององค์กร โดยที่ ทิศทางใหม่ของเรา จะเน้นโฟกัสรายย่อยและ SMEs มากขึ้น ซึ่งผม ยอมรับว่า ทิพยประกันภัย ในอดีต เน้นลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่เป็นหลัก แต่ในปี 2025 เป็นต้นไป เราจะรุกตลาดลูกค้ารายย่อยและ SMEs อย่างจริงจังมากขึ้น แม้กลุ่มนี้จะใช้พลังงานทางการตลาดมากกว่า แต่มีข้อดีคือ “กระจายความเสี่ยงได้ดี” และ “มีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต” ซึ่งเป้าหมายคือ การเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อยและ SMEs จาก 35-36% เป็น 50% และในอนาคตอาจถึง 60% เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคง ไม่ผูกกับลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย” ดร.สมพร กล่าวทิ้งท้าย
จากคำกล่าวของดร.สมพร เราได้เห็นถึงมุมคิดของผู้นำองค์กรที่มีความกล้าหาญในการตัดสินใจ ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน และสามารถยืนหยัดนำองค์กรฝ่าคลื่นความไม่แน่นอน พร้อมวางรากฐานสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง
รางวัล “ประกันวินาศภัยดีเด่น” จึงไม่ใช่เพียงการรับรองความสำเร็จที่ผ่านมา แต่เป็นการยืนยันว่า ทิพยประกันภัย ภายใต้การนำของ ดร.สมพร คือองค์กรที่พร้อมเผชิญอนาคต ด้วยวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และหัวใจที่ไม่เคยหยุดพัฒนา หากเป็นผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอันชาญฉลาด ที่ขับเคลื่อนองค์กรด้วยคุณค่า ให้ความสำคัญกับการสร้างความแตกต่างในเชิงบวกต่อพนักงาน ลูกค้า และชุมชน พร้อมที่จะนำองค์กรเติบโตไปสู่อนาคตที่มั่นคง และยั่งยืน