Lisa Effect ตัวช่วย Dentiste พิชิตฝัน ก้าวสู่แบรนด์ระดับโลก

Lisa Effect ตัวช่วย Dentiste พิชิตฝัน ก้าวสู่แบรนด์ระดับโลก

เดนทิสเต้’ (Dentiste’) ควงแขน ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ ในการเป็น Brand Ambassador ครั้งที่ 3 หวังเป็นแรงส่ง เพื่อตอกย้ำแบรนด์และบรรลุภารกิจใหญ่ การเดินหน้าสู่การเป็น Global Brand กับการเข้าไปปักหมุดในตลาดสหรัฐอเมริกา เยอรมัน ยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลก หลังวางจำหน่ายในกว่า 20 ประเทศแล้ว

เปิดแนวคิดเภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เจ้าของแบรนด์สินค้าที่พูดชื่อแล้วใคร ๆ ก็รู้จัก อย่าง DENTISTE และ Smooth-E ที่มองการณ์ไกลในระดับโลก กับการดึง ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ ในการเป็น Brand Ambassador ครั้งที่ 3 หลัง ‘ลิซ่า’ เป็นตัวเชื่อมสินค้าแบบ Must Have หรือ ‘ของมันต้องมี(ตามลิซ่า)’ ซึ่งว่ากันตามตรงว่า เธอจึงเป็นตัวท็อปที่หลายต่อหลายแบรนด์ต้องการร่วมงานด้วย ดังจะเห็นตัวอย่าง อาทิ  BVLGARI, CELINE และ Louis Vuitton เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เธอมีหลายแบรนด์ต่างพยายามรุมจีบให้เป็น Brand Ambassador ซึ่งล่าสุดคือ ‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’

 

‘ยาสีฟันคู่รัก’ จุดเริ่มต้นเดนทิสเต้
ย้อนไปเมื่อ 18 ก่อน เดนทิสเต้ ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยจุดยืน ‘ยาสีฟันระดับพรีเมียม’ ภายใต้ Brand Purpose หรือความเชื่อของแบรนด์ที่ว่า Your Best Moment นำเสนอผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่ Best Product, Best Self และ Best Relationship ด้วยแกนดังกล่าว บวกกับในยุคนั้นตลาดยาสีฟันพรีเมียมยังเป็นเรื่องใหม่ ทำให้เดนทิสเต้เลือกคู่รักเบอร์ต้น ๆ ของไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ผ่านคอนเซปต์ Healthy Relationship สื่อให้เห็นว่า เมื่อคู่รักใช้ยาสีฟันเดนทิสเต้ พอตื่นเช้ามาจะไม่มีกลิ่นปาก ทำให้เกิดความมั่นใจและแสดงความรักต่อกันด้วยการจุ๊บได้ โดยคู่รักที่เดนทิสเต้เลือกมาเริ่มตั้งแต่ คู่ ‘เคน-ธีรเดช’ กับ ‘หน่อย-บุษกร’, ‘พอลล่า เทเลอร์’ กับ ‘เอ็ดเวิร์ด’ อดีตสามีนักธุรกิจ, ‘ชมพู่-อารยา’ กับ ‘น็อต-วิศรุต’, ‘โอปอล-ปาณิสรา’ กับ ‘โอ๊ค-สมิทธิ์’ และล่าสุดปีนี้ คู่ของ ‘หมาก-ปริญ’ กับ ‘คิมเบอร์ลี่’

และผลตอบรับของกลยุทธ์ดังกล่าว ช่วยแจ้งเกิดเดนทิสเต้ให้เป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ยาสีฟันคู่รัก’ และตอกย้ำความเป็นพรีเมียมแบรนด์ได้สำเร็จ โดยกลุ่มลูกค้าที่ได้มาจะเป็นคนที่มีกำลังซื้อ อายุตั้งแต่ 30-40 ปีขึ้นไป

 

รุกตลาดอีกสเต็ป ผ่าน ‘ลิซ่า เอฟเฟกต์’
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เดนทิสเต้ต้องการเดินหน้าไปอีกสเต็ป ด้วยการขยายกลุ่มเป้าหมายสู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z  เพื่อให้ฐานลูกค้ากว้างขึ้น และตอบโจทย์การเป็นแบรนด์ของคนรุ่นใหม่ นั่นจึงนำมาสู่การดึงลิซ่ามาเป็น Brand Ambassador ในปี 2564 ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับวงการสินค้าอุปโภคบริโภค
เป็นอย่างมาก

“เหตุผลทำไมเราถึงเลือกลิซ่า เพราะเดนทิสเต้กับลิซ่ามีจุดที่เหมือนกัน คือ Thailand to The World ผมเองตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นแบรนด์แล้วว่า ต้องการบุกตลาดต่างประเทศ จึงวางโพสิชันเป็น Global Brand ส่วนลิซ่าเป็นคนไทยที่เป้าหมายชัดเจนว่าจะ Go Inter และมีภาพลักษณ์ทันสมัย มีความเป็นพรีเมียม เพราะแบรนด์ที่เลือกใช้ลิซ่าส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกและอยู่ระดับไฮเอนด์ทั้งสิ้น” เภสัชกร ดร.แสงสุขเล่าให้ฟัง

นอกจากเป็นคนดังติดอันดับโลกและมีกระแสฮอตเป็นอย่างมากแล้ว เภสัชกร ดร.แสงสุขยังบอกอีกว่า ลิซ่าเป็นคนที่มี Beauty & Confident Smile เพราะฟันเรียงสวย เวลายิ้มมีความน่ารักและมั่นใจ ซึ่งถือเป็นแบรนด์อิมเมจที่ดีและตรงกับแบรนด์เดนทิสเต้เป็นอย่างมาก

“หากแบรนด์มีคนสื่อสารได้ตรงใจและโดนใจเท่ากับประสบความสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว ซึ่งมีทันตแพทย์ที่สนิทกับผมแนะนำว่า ถ้าอยากได้คนที่นำเสนอและสื่อสารแบรนด์ได้เป็นอย่างดีต้องเป็นลิซ่า เพราะฟันสวยมาก มีรอยยิ้มน่ารัก มีความมั่นใจเวลายิ้ม นั่นเป็นอีกเหตุผลที่เราเลือกลิซ่ามาทำหน้าที่นี้ และต่อสัญญาเมื่อปีที่ผ่านมาเป็นครั้งที่ 2 และในปีนี้เป็นครั้งที่ 3”

ผลจากลิซ่า เอฟเฟกต์ ที่เดนทิสเต้มีลิซ่ามานั่งในตำแหน่ง Brand Ambassador ไม่เพียงสร้างชื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งกลุ่มคนไทยและต่างชาติ ขณะเดียวกันยังส่งผลให้มูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้น 3 เท่า และมียอดขายจริงเติบโต 50-100%

 

ตั้งเป้ายอดขายโตเท่าตัว พร้อมบุกตลาดโลกมากขึ้น
มาถึงปีนี้ เดนทิสเต้ได้ต่อสัญญาการเป็น Brand Ambassador ของลิซ่า เป็นครั้งที่ 3 คลอบคลุมผลิตภัณฑ์กลุ่มยาสีฟันทุกสูตรของแบรนด์และผลิตภัณฑ์กลุ่มสเปรย์ระงับกลิ่นปาก ประเดิมด้วยการเปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ The New Chapter : Dentiste’ X The Power of Lisa’s Confident Smile ถ่ายทอดชีวิตและตัวตนของ
ลิซ่าเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ โดยลิซ่าได้เข้ามามีส่วนร่วมทั้งการเขียนบท กำกับ และวางคาแรกเตอร์ร่วมกับทีมจัดทำโฆษณา

จากนั้นในสเต็ปต่อไป จะเริ่มมีแคมเปญทางการตลาดต่าง ๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่ทางเดนทิสเต้จะจัดกิจกรรมพาลิซ่าลัดฟ้ามาพบปะกับบรรดาแฟน ๆ ในประเทศไทย

การร่วมงานกันในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยตอกย้ำแบรนด์ ตลอดจนเป็นการปูทางในการก้าวสู่ Global Brand แล้ว ทางเภสัชกร ดร.แสงสุขยังคาดหวังว่าจะเป็นแรงส่งสำคัญในการเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว

ากเดิมมียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-10% รวมถึงต้องการเพิ่มสัดส่วนของการส่งออกไปประเทศต่าง ๆ ให้เพิ่มขึ้น ณ ตอนนี้ เดนทิสเต้มีวางจำหน่ายในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยตลาดหลักที่มีการเติบโตเป็นอย่างดี ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี และกัมพูชา อย่างภายในปีนี้มีแผนจะบุกตลาดสหรัฐอเมริกา เยอรมัน ยุโรป และอีกหลายประเทศที่มีโอกาส

เภสัชกร ดร.แสงสุขย้ำว่า การจะไปตลาดต่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จใช้มาร์เก็ตติ้งอย่างเดียวไม่ได้ หาก ‘ตัวสินค้า’ ไม่ดีพอ ดังนั้น การไปทำตลาดในแต่ละประเทศของเดนทิสเต้ จะเน้นไปที่สินค้าต้องดี มีคุณภาพ และการเข้าไปแต่ละประเทศ จะมีกลยุทธ์แตกต่างกันไปทั้งตัวสินค้าและมาร์เก็ตติ้ง

“หลายคนบอกว่า เราขายดีเพราะมีลิซ่า แต่อย่าลืมว่า หากสินค้าเราไม่ดี ยอดขายที่พุ่งขึ้นก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งนั่นไม่ดีต่อธุรกิจ เท่ากับยอดขายค่อย ๆ เพิ่ม แต่ขึ้นแบบยาว ๆ และย้ำว่ามาร์เก็ตติ้งอย่างเดียวไม่มีทางสำเร็จ ถ้าตัวสินค้าไม่ดี และอย่าลืมว่าแต่ละประเทศ ผู้บริโภคมีพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ยุโรปเป็นประเทศที่ไม่กินหวานเหมือนไทย การนำเสนอต้องไปเรื่องอื่น เช่น การเพิ่มเนื้อฟัน หรือเพิ่มปริมาณสารเคลือบฟันที่จะทำให้เนื้อฟันขาวและแข็งแรงแบบนี้ เป็นต้น”

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด มีธุรกิจในเครือแบ่งเป็น 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย ‘สมูท อี’ สร้างรายได้ให้ในสัดส่วนที่ 40%, เดนทิสเต้มีสัดส่วนรายได้ 40% ตามด้วย Smooth Life ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม, ร้านขายยา P&F Smooth Life และโรงงานยาสยามเมดิแคร์ โดยในปี 2567 สยามเฮลท์กรุ๊ปตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท

 

Writer : ณัฐสุดา เพ็งผล

ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus