โลกเหลือ Carbon Budget 380 พันล้านตัน ก่อนอุณหภูมิเพิ่มเกิน 1.5°C
เอกชนเร่งผลักดัน ระดมความร่วมมือ กู้วิกฤติโลกร้อน
รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยอยู่ในลำดับ 9 ของโลกที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงจากภาวะวิกฤติภูมิอากาศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมมายาวนานทุกปี ๆ ซึ่งหากสถานการณ์นี้ยังลุกลามต่อไป ย่อมจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดย ณ ปัจจุบัน ไทยเหลือ Carbon Budget อยู่ 380,000 ล้านตัน ซึ่งคำถามก็คือ ก่อนที่อุณหภูมิจะเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เราจะหาทางออกนี้อย่างไร ?
จากข้อมูล Insight ข้างต้น ภายในงานสัมมนา Decarbonize Thailand Symposium 2024 : Path to Net Zero Collaboration ปีที่ 2 โดยทรู ดิจิทัล พาร์ค ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ภาคเอกชนต่างออกมาให้มุมมองและข้อคิดเห็นแนวทางปรับตัวอย่างน่าสนใจ โดย Business+ ได้สรุปเนื้อหาและสรุปให้ฟัง
ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า จากความสำเร็จในการจัดงาน Decarbonize Thailand Symposium 2022 เป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้มีบริษัทยักษ์ใหญ่สนใจร่วมงานเป็นอย่างมาก ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงเดินหน้านำศักยภาพระบบนิเวศครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการเทค สร้างคอมมูนิตี้เชื่อมโยงความร่วมมือในแก้ไขปัญหาดังกล่าว จัดงาน Decarbonize Thailand Symposium 2024 : Path to Net Zero Collaboration เป็นปีที่ 2 โดยเน้นการอัปเดตนวัตกรรมโซลูชันจากสตาร์ทอัพทั่วโลก
นอกจากนี้ยังผลักดันการเติบโตของสตาร์ทอัพ Climate Tech ผ่านความร่วมมือในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการจัดโครงการและกิจกรรมที่จะสร้างพลังเครือข่าย กระตุ้นให้เกิดการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าว มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยโฟกัส 4 กลุ่มนวัตกรรม Climate Tech ที่น่าจับตามอง ได้แก่ E-Mobility เช่น EV และระบบขนส่ง, Decarbonization เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการคาร์บอนและคาร์บอนเครดิต, AgriTech เช่น ระบบบริหารจัดการน้ำ เชื้อเพลิงชีวภาพ และวัตถุดิบทางเลือก และ Energy เช่น การบริหารจัดการพลังงานและพลังงานหมุนเวียน
โอกาสและความท้าทาย บนเส้นทางสู่ Net Zero
ภายในงาน Decarbonize Thailand Symposium 2024 : Path to Net Zero Collaboration นอกจากการบรรยายพิเศษ อัปเดตเทรนด์โลกและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตสภาพอากาศจากเหล่าวิทยากรผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังมีหลากหลายองค์กรชั้นนำและสตาร์ทอัพ Climate Tech ร่วมพูดคุยถึงโอกาสและความ
ท้าทายในการเดินทางสู่ Net Zero
ตัวแทนจากเด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์และนวัตกรรมโมบิลิตี้แห่งอนาคต ให้ข้อมูลในช่วง Decarbonization 101 Deep Dive : Exploring Cutting-Edge Strategies for a Sustainable Future ว่า “การเลือกวัสดุในขั้นตอนการผลิตของบริษัทฯ ไม่ได้มองที่ต้นทุนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วย ส่วนภาคการผลิตก็ต้องปล่อยคาร์บอนให้ต่ำที่สุดหรือเป็นศูนย์ เมื่อนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาประกอบเป็นรถยนต์ก็ต้องช่วยลดคาร์บอนได้ รวมถึงการพัฒนาด้านอีวีหรือเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cells) ด้วย
ด้านผู้แทนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้เผยถึงอีกด้านของโอกาสว่า “ยุคนี้ผู้ที่ปรับตัวได้ก่อนก็สามารถเป็นผู้กำหนดสร้างกฎเกณฑ์ข้อตกลงได้ก่อน เช่น ราคาคาร์บอนเครดิต โดยภาคธุรกิจต้องปรับตัว นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกทั้งความยั่งยืนยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ในการเลือกทำงาน เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยั่งยืนที่จะเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ซึ่งในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสสำหรับสตาร์ทอัพที่มาพร้อมโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เสมอ สำหรับประเด็นด้านความเสี่ยงขององค์กรและประชาชนทั่วไป
ขณะที่ตัวแทนจากเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ไทยแลนด์ ให้มุมมองถึงปัญหาที่ทุกคนเจอโดยไม่รู้ตัว คือ ภาษีคาร์บอนผ่านการซื้อรถยนต์ ค่าไฟ และอาหารการกิน เป็นต้น เดลต้าได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2015 ด้วยการประกาศคำมั่นสัญญาผ่านธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้พลังงานสิ้นเปลือง พร้อมใช้พลังงานสีเขียวและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ เป็นต้น
ส่วนองค์กรสตาร์ทอัพ ALTOTECH GLOBAL เผยว่า ในการตั้งเป้าลดการใช้พลังงาน การนำข้อมูลมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นสิ่งที่สำคัญ เช่น ระบบอาคารที่มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ของอาคารที่ใช้ข้อมูลร่วมกันก็เป็นอีกโอกาสที่อยากพัฒนาให้เกิดขึ้น
ด้าน ALTERVIM เผยถึงมุมของสตาร์ทอัพ คือ มักจะมุ่งสร้างเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาระดับประเทศ แต่หลังจากได้ร่วมงานกับคอร์ปอเรต ทำให้เห็นว่าความร่วมมือที่แท้จริงจะต้องช่วยขับเคลื่อนเอสเอ็มอีต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ด้วย มิติเหล่านี้ไม่ได้มองแค่ตัวเลขทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมองว่าส่งผลต่อการจ้างงาน สังคม และประเทศชาติอย่างไรด้วย
กู้วิกฤติ Climate Change ต้องเปลี่ยนที่คนเป็นอันดับแรก
ขณะที่นายบุญรอด เยาวพฤกษ์ กรรมการบริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด องค์กรที่ปรึกษาที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยประเทศไทยและโลกไปสู่ Net Zero Economy รวมถึงได้ก่อตั้ง Climate Academy เผยว่า แนวโน้มอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมมายาวนานทุกปี ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยเหลือ Carbon Budget อยู่ 380,000 ล้านตัน ก่อนที่อุณหภูมิจะเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จนเกิดแคมเปญ Net Zero ทั่วโลกต่าง ๆ ขึ้น ตั้งแต่สนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) จนถึงปัจจุบันคือความตกลงปารีส (Paris Agreement) และยังให้มุมมองเรื่อง Climate Change ว่า อันดับแรกผู้คนต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง แต่พฤติกรรมบุคคลนั้นเปลี่ยนได้ยาก อาจจะต้องมีบทลงโทษหากทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้ 2 กลไก ได้แก่ 1. ETS Immigration Trading Screen สำหรับหน่วยงานขนาดใหญ่ที่กำหนดโควตาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหากปล่อยเกินต้องไปหาโควตาจากที่อื่น และ 2. การเก็บภาษีคาร์บอนที่จะสามารถช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคตได้
ทั้งนี้ นายบุญรอดกล่าวทิ้งท้ายในการทำ Net Zero Economy ว่า “การทำธุรกิจหากเข้าใจ Landscapeจะได้เปรียบมากกว่า โดยสิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ เทคโนโลยีไหนกำลังมา ทรัพยากรที่ถูกใช้มากที่สุดคืออะไร โดยในปัจจุบันอันดับแรก ได้แก่ น้ำ และรองลงมาคือคอนกรีต
และคำถามที่น่าสนใจคือ จะมีวัสดุใดมาทดแทนได้หรือไม่ ? หรือแม้แต่ไฟฟ้าทั้งหมด หากมีจุดกำเนิดมาจากพลังงานสะอาดจะต้องทำอย่างไร เป็นต้น”
หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากงานสัมมนา Decarbonize Thailand Symposium 2024 : Path to Net Zero Collaboration ปีที่ 2 โดยทรู ดิจิทัล พาร์ค ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus