เปิด 2 ธุรกิจที่คนจีนเข้ามาตีตลาดในไทยมากที่สุด

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า มีทุนจีนเข้ามาทำธุรกิจและลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 จำนวนนักลงทุนจีนแห่ลงทุนในไทยมากกว่า 30,000 ราย มูลค่ากว่า 4.15 แสนล้านบาท ซึ่งมีการลงทุนในหลากหลายธุรกิจ ทั้งอสังหาริมทรัพย์, อาหาร, รวมไปถึงการค้าปลีกและค้าส่ง

ซึ่งในปี 2568 มีการวิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มที่กลุ่มชาวจีนจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเกิดการตื่นตัว โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบ ทั้งในรูปแบบการซื้อขายและการเช่า (ฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ประเทศไทย)

โดย 2 ธุรกิจที่มีเม็ดเงินลงทุนจากประเทศจีนสูงที่สุดพบว่าเป็น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ทาง ‘Business Plus’ จึงได้ทำการสำรวจข้อมูลเม็ดเงินลงทุนจากประเทศจีน 4 ปีย้อนหลังมาให้ดูกันผ่าน Infographic นี้

จะเห็นได้ว่า ในปี 2567 เม็ดเงินลงทุนฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากเคยซบเซาจาก COVID-19 โดยในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เราจะเห็นเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัทไทยและบริษัทจีน (ตามกฏหมายกำหนดเอาไว้) ซึ่งแบรนด์อสังหาฯ ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Artisan รัชดา , ไฮไชน์ รีกัล บางนา , TC Green พระราม 9 ล้วนเป็นบริษัทอสังหาฯจากจีนที่เข้ามาร่วมลงทุน

สำหรับบริษัทอสังหาริมทรัพย์จากจีนที่ร่วมลงทุนกับไทย อย่างเช่น

1.บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เช่น Artisan รัชดา

2.บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด เช่น ไฮไชน์ รีกัล บางนา

3.บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด เช่น TC Green พระราม 9

ทีนี้มาดูฝั่งร้านอาหารและเครื่องดื่มกันบ้าง โดยแบรนด์ดังที่มีสาขามากมายในโลกก็หันมาลงทุน และตีตลาดไทย เช่น MIXUE (มี่เสวี่ย) แบรนด์ขนมหวานไอศรีมสัญชาติจีน หรือแม้กระทั่งร้านหมาล่าชื่อดังอย่าง CQK MALA Hotpot

ส่วนในปี 2568 ข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม – มิถุนายน) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 502 ราย

โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 123 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 379 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 111,506 ล้านบาท

ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรกของครึ่งปีแรก 2568

1. ญี่ปุ่น 99 ราย คิดเป็น 20% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 43,025 ล้านบาทใน 4 ธุรกิจหลัก

– ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ

– ธุรกิจบบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ

– ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรม

– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ช่วยพยุงข้อมือ สิ่งพิมพ์ลามิเนทเพื่อบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์สำหรับรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร ชิ้นส่วนยานพาหนะ

2. สหรัฐอเมริกา 72 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 2,797 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

– ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม

– ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องจักร/เครื่องมือ/อุปกรณ์/ชิ้นส่วน และส่วนประกอบที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ

– ธุรกิจบริการทำการตลาด รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อพัฒนาธุรกิจ

– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น DC Cable โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ Captive Screw for PCB

3. จีน 65 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ ลงทุน 18,336 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

– ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ

– ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า

– ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ

– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชุดสายไฟแรงดันสูงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์จากพลาสติกชีวภาพ ชิ้นส่วนยานพาหนะ แผ่นพลาสติกพิมพ์ลาย

4. สิงคโปร์ 63 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ ลงทุน 17,384 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

– ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง

– ธุรกิจบริการสนับสนุนและบริหารจัดการการวิจัยทางคลินิก

– ธุรกิจบริการ Data Center

– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะทุบขึ้นรูป บรรจุภัณฑ์กระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพ แม่พิมพ์และชิ้นส่วนพลาสติก Printed Circuit Board

5. ฮ่องกง 51 ราย 10% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 8,309 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

– ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย

– ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า

– ธุรกิจบริการ Data Center

– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์ทางทันตกรรม ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนพลาสติก ชิ้นส่วนโลหะ

ที่มา : DBD

#BusinessPlus

#BusinessCrack

#ธุรกิจ

#ทุนจีน