5 แบรนด์ที่เจ้าของเป็นดารา และรายได้เติบโตเป็นเท่าตัว

ธุรกิจดารา ไม่ใช่แค่ เทรนด์ แต่คือ การลงทุนจริง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นดาราไทยจำนวนมากก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ จากคนเบื้องหน้า สู่การเป็นผู้ประกอบการที่ลงมือทำธุรกิจของตัวเองอย่างจริงจังและจากแค่การ เริ่มต้น หลายแบรนด์กลับสามารถ เติบโตแบบก้าวกระโดด บางแบรนด์เริ่มจากหลักแสน ตอนนี้รายได้ทะลุหลักสิบล้านบางแบรนด์เปิดมาไม่ถึงปี แต่สามารถยืนหนึ่งในหมวดหมู่สินค้าของตัวเองได้แล้ว ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโต ไม่ได้มีแค่ ชื่อเสียง แต่คือการวางกลยุทธ์ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และความใส่ใจในการบริหารแบบจริงจัง

วันนี้ ทาง Business plus ขอพาไปดู 5 แบรนด์ของดาราไทย ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็นคนดังไม่ได้การันตีความสำเร็จ แต่การลงมือ ทำจริง คิดจริง และวางแผนแบบมืออาชีพต่างหากที่ทำให้รายได้เติบโตเป็นเท่าตัวในเวลาไม่กี่ปี

ซึ่งแบรนด์แรก THE RITZ CLINIC ของคุณหมอริท เรืองฤทธิ์ เจ้าของแบรนด์คลินิกความงามที่วางตำแหน่งชัดเจนว่า โปร่งใส และมืออาชีพ ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวในปี 2562 จุดเด่นของ The Ritz คือการเลือกใช้เทคโนโลยีระดับสูง เช่น Ulthera SPT และ Picosecond Laser พร้อมให้แพทย์เป็นผู้ประเมินเอง ไม่เน้นโฆษณาเกินจริง และใช้รีวิวจากลูกค้าจริงมาเป็นพลังในการขยายแบรนด์ ถือว่าเป็น แบรนด์คลินิกที่รายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด

รายได้ใน ปี 2565: 73.52 ล้านบาท

ปี 2566: 228.89 ล้านบาท

ปี 2567: 266.92 ล้านบาท

กำไรปีล่าสุด: 23.5 ล้านบาท

ลูกค้าหลักคือกลุ่มที่ใส่ใจรูปลักษณ์ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงานที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนและปลอดภัยและอีกหนึ่งโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในตอนนี้คือโปรแกรม ยกกระชับผิวหน้าและลำคอด้วยเทคโนโลยี Ultraformer MPT Revive ล่าสุดได้แตกแบรนด์น้องใหม่ออกมา ถือว่าป็นคลินิกความงามชื่อว่า SPACE V CLINIC เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อไม่สูงเท่าแบรนด์ THE RITZ แต่เป็นการแตกแบรนด์ลูกหลังจากที่แบรนด์แม่ที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดี

 

แบรนด์ต่อมา Holiday Pastry ของคุณ อิน สาริน รณเกียรติ  และคุณ ไท้ วสุวัส คูหาเปรมกิจ เปิดตัวปี 2564 ด้วยคอนเซ็ปต์คาเฟ่ขนมสไตล์ฝรั่งเศสรสพรีเมียม ที่เข้าถึงง่าย

ช่วงแรกอาศัยฐานแฟนคลับของอิน สารินในการโปรโหตแต่หลังจากนั้นแบรนด์เลือกใช้ คุณภาพของขนม เป็นจุดแข็ง เพื่อดึงให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ เมนูซิกเนเจอร์ของ Holiday Pastry และจุดขายหลักคือ The Best Cheese Tart เมนูขายดีที่ครองใจลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ และชีสเค้กหน้าไหม้ รสชาติเข้มข้น นุ่มละลายในปาก และยังมีเมนูพิเศษตามฤดูกาลและคอลแลบฯ สุดพิเศษกับแบรนด์ระดับโลกถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องรสชาติและภาพลักษณ์ที่แชร์ต่อได้บนโซเชียล ทำให้รายได้ของ Holiday Pastry มีการเติบโตอย่างต่อเนือง

ปี 2565: 18.22 ล้านบาท

ปี 2566: 32.16 ล้านบาท

ปี 2567: 58.75  ล้านบาท

และกำไรในปีล่าสุดอยู่ที่ 690,000 บาท

 

มาดูแบรนด์ที่ 3 กัน แบรนด์ SOURI ของคุณ วิน เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร อีกหนึ่งธุรกิจของ วินเมธวินนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ SOURI เปิดตัวในปี 2567 และกลายเป็นกระแสที่น่าจับตามองทันที

SOURI แบรนด์ขนมมาการองที่มีไส้แน่นและรสชาติที่หลากหลาย มาการองดีไซน์สวย แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร เน้นไส้หนาเต็มคำ รสชาติเข้มข้นถึงใจ จุดขายคือการออกแบบรสชาติที่สร้างสรรค์ และการตกแต่งที่ทำให้สินค้ากลายเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง พร้อมใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต

โดยเมนูซิกเนเจอร์ของ SOURI คือรส Birthday Cake Macaron และ Hokkaido Milk Macaron ที่มีไส้หนาและรสชาติเข้มข้น

SOURI ทำรายได้ในปีแรกถึง  46.11 ล้านบาท กำไร  5.74 ล้านบาท

แบรนด์ยังใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงอีเวนต์ เช่นคอลแลบพิเศษช่วงเทศกาล หรือจับมือกับแบรนด์อื่นเพื่อขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มแฟนคลับวิน และสายอาร์ตที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามของสินค้า

 

ต่อมาแบรนด์ที่ 4 ของคุณ หลิงหลิง ศิริลักษณ์  Always Wonder แบรนด์แฟชั่นน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2567 แต่วางโพสิชันชัดเจนว่า จะไม่เป็นแค่แบรนด์น่ารัก แต่จะเป็นแบรนด์ที่มีสไตล์เฉพาะตัว Always Wonder เน้นเสื้อผ้าหวานวินเทจ ที่ใส่แล้วมีเอกลักษณ์เน้กลุ่มเป้าหมายคือผู้หญิงวัยรุ่น

วัยทำงาน ที่มองหาแฟชั่นที่ไม่ซ้ำใคร ใส่แล้วรู้สึกเป็นตัวเอง  สินค้าที่รับความนิยมของแบรนด์คือ เสื้อยืด โดยเฉพาะเสื้อยืดคอลเลคชั่น A Digital Heartbeat ซึ่งมีทั้งทรง Baby Tee และ Oversize Tee และแบรนด์ Always Wonder ยังมีกลยุทธ์การออกคอลเลกชันตามเทศกาล และสร้างการรับรู้ผ่าน TikTok & Instagram อย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัวแบรนด์ Always Wonder ก็ทำรายได้ในปีแรกไปถึง 43.62  ล้านบาท และกำไร  3.73 ล้านบาท

 

และแบรนด์สุดท้าย แบรนด์ Reroute ของคุณ บิ้วกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล อีกหนึ่งธุรกิจของบิวกิ้น ที่ใช้แพสชันด้านแฟชั่นมาสร้างเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสไตล์มินิมอลและรักโลกเน้นแฟชั่นยั่งยืนด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิลและลดการสร้างขยะ โดดเด่นด้วยดีไซน์เรียบ เท่ และมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว พร้อมกลยุทธ์ พรีออเดอร์ ที่ช่วยควบคุมต้นทุน และลดสต็อกค้างในระบบ สินค้าที่ได้รับความนิยมของแบรนด์ Reroute เสื้อผ้าและกระเป๋าแฟชั่นที่ผลิตจาก วัสดุรีไซเคิล และกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

รายได้โตแบบก้าวกระโดด ถึงแม้ในปี 2566 รายได้ลดลงจาก 3.88 ล้านบาท ลดลงมาที่ 2.65 ล้านบาทแต่ในปี 2567 รายได้กลับโตขึ้นเท่าตัวอยู่ที่ 5.58 ล้านบาท กำไรในปีล่าสุด  350,00 บาท

แบรนด์ Reroute มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนโดยเน้นกลยุทธ์ดึงดูดกลุ่ม คนรุ่นใหม่ และคนทำงานสายแฟชั่น ที่ต้องการเสื้อผ้าเรียบแต่ดูดี

 

จากข้อมูลทั้งหมดเราจะเห็นได้ชัดว่านอกจากความสำเร็จที่เห็นได้ชัดจาก 5 แบรนด์นี้ ยังมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้ดาราหลายคนเลือกก้าวเข้าสู่ธุรกิจของตัวเอง เพราะในวงการบันเทิง อาชีพมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งเรื่องงานที่มาไม่ต่อเนื่อง หรือการเปลี่ยนแปลงรสนิยมผู้ชม ดาราหลายๆท่าน จึงต้องมองหาธุรกิจที่สามารถต่อยอดได้ในระยะยาว ไม่ว่าจะทำด้วยตัวเอง หรือจ้างทีมงานมืออาชีพมาช่วยบริหาร เพื่อสร้างรายได้เสริมที่มั่นคงและยั่งยืน เพราะนี่คือการลงทุนจริงจัง ที่ไม่ใช่แค่ทำตามเทรนด์ แต่คือการสร้าง อาชีพใหม่ ที่สามารถยืนหยัดได้แม้ในวันที่งานในวงการบันเทิงอาจไม่แน่นอน

ดังนั้น การมีแบรนด์ของตัวเองจึงไม่ใช่แค่การใช้ชื่อเสียงเรียกความสนใจ แต่คือการวางแผนและบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงสำหรับอนาคต

ที่มา : Dbd, the ritz clinic, holiday pasty, souri, always wonder, reroute