จักรวาลการศึกษาในวันที่เด็กเกิดน้อยลง ใครจะอยู่ ใครจะไป?

ธุรกิจการศึกษาไทยในปี 2567 ที่ผ่านมาโดยภาพรวมแล้วมีการใช้จ่ายด้านการศึกษาสำหรับเด็กลดน้อยลง จากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่กลับกัน การเติบโตของโรงเรียนนานาชาติกลับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ด้วยรายได้ที่สูงขึ้น สวนทางกับโรงเรียนทั่วไปที่มีจำนวนนักเรียนน้อยลง ขณะที่ธุรกิจกวดวิชาก็ต้องเจอกับความท้าทายเหมือนกัน จนทำให้ทั้งปีมีโรงเรียนกวดวิชาจำนวนมากรายได้ลดลง ไปจนถึงมีผลขาดทุน

‘Business Crack’ ครั้งนี้จะพาไปเจาะกลุ่มธุรกิจด้านการศึกษาว่าหมวดไหนยังมีโอกาสเติบโตสูง และหมวดไหนกำลังย่ำแย่ และผู้นำของแต่ละกลุ่มจะเป็นใคร มีจุดเด่นอะไรบ้าง ผ่าน Infographic ซึ่งเราได้แบ่งหมวดในจักรวาลการศึกษาออกมาเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

  1. โรงเรียนนานาชาติ
  2. สถาบันกวดวิชา
  3. สื่อสิ่งพิมพ์สำหรับโรงเรียน

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติโตสวนตลาด แต่ในกรุงเทพแข่งขันสูง

ในกลุ่มธุรกิจการศึกษาในแง่ของการเติบโตถือว่าหมวด โรงเรียนนานาชาติ ยังเป็นตัวท็อป โดยโรงเรียนที่มีรายได้สูงที่สุดในประเทศและมีการรายงานข้อมูลอย่างเป็นทางการในปี 2567 เป็น โรงเรียนนานาชาติ SISB ในเครือบริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) สัญชาติสิงคโปร์ และมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ปีล่าสุดมีรายได้มากถึง 2,451 ล้านบาท และยังเป็นหนึ่งในโรงเรียนนานาชาติที่ค่าเทอมแพงที่สุดในประเทศอีกด้วย

อย่างไรก็ตามยังมีอีก 2 โรงเรียนนานาชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องค่าเทอมสูงที่สุด คือ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี และโรงเรียนนานาชาติ NIST แต่ในปีล่าสุดทั้ง 2 ไม่ได้มีการเปิดเผยรายได้อย่างเป็นทางการ แต่มีค่าเทอมอยู่ที่ช่วง 1,021,700-1,109,840 บาท/ปี เมื่อคำนวณแบบกำปั้นทุบดินจากจำนวนนักเรียนประมาณ 1,800 คน คาดการณ์ว่ารายได้ในปี 2568 จะอยู่ที่ราวๆ 2,300 ล้านบาท ขึ้นไป

ขณะที่ในปี 2568 นี้คาดการณ์รายได้โรงเรียนนานาชาติไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง แตะ 9.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 9.7% โดยที่มีโอกาสที่จะขยายออกจากกรุงเทพไปสู่จังหวัดอื่นๆ เพราะในกรุงเทพฯมีพื้นที่ที่จำกัดและการแข่งขันที่สูงในเมืองหลวง

ซึ่งปัจจุบันผู้ปกครองนิยมส่งลูกหลานเรียนในหลักสูตรนานาชาติเพราะมีศักยภาพการลงทุนด้านการศึกษาสูง สะท้อนจากการที่จำนวนคนไทยที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 33 ล้านบาท) และคาดว่าจะเพิ่ม 24% ในปี 2566-2571

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของนักเรียนต่างชาติโดยเฉพาะนักเรียนจีนที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยชาวจีนในตำแหน่งสูงที่มาทำงานในไทยยังเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20.8% ต่อปีตั้งแต่ปี 2564-2567 ซึ่งนักเรียนชาวจีนที่ติดตามผู้ปกครองมาอยู่ในไทยก็มักจะเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ นอกจากนี้การที่รัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมการใช้ภาษาจีนกลาง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเรียนหลักสูตรนานาชาติในจีนสูงขึ้น ทั้งนี้ จากผลสำรวจ ปักกิ่ง เป็นเมืองที่มีค่าเรียนโรงเรียนนานาชาติสูงสุดในเอเชีย ส่งผลให้โรงเรียนนานาชาติในไทยนั้นเป็นที่สนใจสำหรับผู้ปกครองจีน

อย่างไรก็ตาม โรงเรียนนานาชาติเผชิญความท้าทายจากโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยที่มีการเสนอหลักสูตรหลายภาษา เช่น ไทย อังกฤษ และจีน ซึ่งผู้ปกครองบางกลุ่มอาจพิจารณาเปลี่ยนไปหลักสูตรนี้เพื่อความคุ้มค่า นอกจากนี้ถึงแม้ปีที่ผ่านมาจะมีการเติบโตเกือบ 10% แต่ก็ยังเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยจากจำนวนโรงเรียนนานาชาติที่เปิดใหม่ 8 โรงเรียน น้อยกว่าที่เปิดในปี 2567

นิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโรงเรียนเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฏหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิ ไม่รวมโรงเรียนเอกชนประเภทกวดวิชา

จากข้อมูลงบการเงินพบว่า แม้กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นแต่ภาษีเงินได้ที่ต้องชำระกลับมีอัตราส่วนที่ต่ำมาก สะท้อนให้เห็นถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่โรงเรียนเหล่านี้ได้รับตามกฏหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว (DBD)

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย , Corpus X

ธุรกิจกวดวิชา เจ้าที่อยู่รอดได้อาศัยปรับตัว ติวเฉพาะทางด้านอาชีพ

ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชามีแนวโน้มเดียวกับโรงเรียนนานาชาติ โดยสถาบันกวดวิชานอกพื้นที่นอกกรุงเทพฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้ที่สูงกว่า ระหว่างปี 2564-2568 รายได้ของธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาในกรุงเทพฯ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.2% ต่อปี ในขณะที่ ภูมิภาคอื่นนั้นสูงถึง 23.8% โดยสัดส่วนรายได้ของธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาที่มาจากกรุงเทพฯ มีทิศทางลดลงจากปี 2564 ที่อยู่ราว 83.2% ของรายได้ทั้งประเทศ สู่ระดับ 71.3% ในปีนี้ ซึ่งเกิดจากการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้และแนวข้อสอบโดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้นักเรียนอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการเรียนเสริมที่โรงเรียนกวดวิชา (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)

อย่างไรก็ตามในหมวดสถาบันกวดวิชานั้น เจ้าตลาดที่รายได้สูงสุดอันดับ 1 มีการปรับตัวที่น่าสนใจ สวนทางกับเจ้าอื่นๆ นั่นคือ บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือแบรนด์ On Demand ซึ่งนอกจากเป็นสถาบันกวดวิชาแล้วยังมีโรงเรียนในเครืออย่าง บริษัท เลิร์น สาธิตพัฒนา จำกัด

โดย On Demand ในปีล่าสุดมีรายได้ 1,391 ล้านบาท เติบโต 1.25% และเมื่อเจาะไปถึงกำไรสุทธิ พบว่าสูงถึง 185.15 ล้านบาท เติบโต 60% ในขณะที่กวดวิชาอื่นๆมีรายได้ที่ลดลง โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เติบโตได้ดีคือ การปรับตัวให้เข้ากับการศึกษาในรูปแบบใหม่ๆ และมีการหลักสูตรให้ตอบโจทย์อาชีพที่มีความต้องการในตลาดมากขึ้น เช่น วิชาความถนัดแพทย์ หรือวิศวะ ซึ่งแน่นอนว่า หากอาชีพหมอ วิศวะ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดหลักสูตรนี้ก็เติบโตตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นกวดวิชาที่มีความยืดหยุ่น ทั้งคอร์สเรียนสด และแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์เองที่บ้าน ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่ทุกเวลา

ธุรกิจผลิตหนังสือเรียน เบอร์ 1 ครองตลาดด้วยส่วนแบ่งมากถึง 40%

สำหรับมูลค่าตลาดของธุรกิจผลิตหนังสือเรียนของไทยล่าสุดมีมูลค่ารวม 7 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่าย หนังสือเรียน สื่อการเรียนการสอน  สำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมนั่นคือ เด็กเกิดน้อยลง แน่นอนว่าความต้องการตำราเรียนก็น้อยลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด กลับมีรายได้ และกำไรสุทธิในปีล่าสุดเพิ่มสูงขึ้น โดยกำไรสุทธิเติบโตได้เกือบ 30% สาเหตุเป็นเพราะว่า นอกจากตำราเรียนแล้ว อจท. ยังมีสินค้าอีกหลายประเภทที่ครอบคลุมกระบวนการเรียนรู้ ทั้งหมด

ซึ่ง อจท. ได้ปรับระบบการเรียนรู้ที่สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสอนกับคนเรียนมากขึ้น เน้นการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้แก้ปัญหา ได้แสดงออกมากขึ้น โดยวิธีที่จะทำให้การเรียนรู้นี้สำเร็จตามเป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาครู โดย อจท.ได้จัดอบรมครูเฉลี่ยปีละกว่า 7 หมื่นคน ทำให้ครูสามารถสอนได้มีคุณภาพมากขึ้น

ในปีล่าสุด ‘อักษรเจริญทัศน์’ ส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 40% ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของตลาดหนังสือเรียนและวงการการศึกษาของไทย

อย่างไรก็ตามธุรกิจผลิตหนังสือเรียนของไทยยังคงมีความท้าทายจากการปรับปรุงหลักสูตรที่ต้องทันสมัยอยู่เสมอ นอกจากนี้เมื่อค่านิยม หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หลักสูตรในตำราเรียนก็ต้องเปลี่ยนแปลงตาม Generation ของผู้เรียน ขณะที่ต้องผลิตหนังสือที่ได้มาตรฐานตามกฏของ ‘กระทรวงศึกษาธิการ’ และการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีอำนาจสามารถสั่งถอดหนังสือเรียนได้หากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เพราะการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาได้อีกด้วย

ที่มา : Corpus X , ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์