โมเดลธุรกิจ “วัด” องค์กรที่มีรายรับเป็นล้านต่อปี แต่ไม่มีคนตรวจสอบ

ช่วงที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องรายรับรายจ่ายของ “วัด” ได้เป็นที่พูดถึงต่อเนื่องที่มีมาแทบจะทุกปี โดยข่าวฉาวล่าสุดเกี่ยวกับวัดไร่ขิงและซีรีส์ “สาธุ” ที่เริ่มฉายซีซัน 2 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ใช้กิจการของวัดในการสร้างรายรับเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ก็ได้ทำให้ประเด็นนี้กลับมาอีกครั้ง จนทำให้หลายคนอาจสงสัยว่าแต่ละปีวัดมีรายรับเข้ามาเท่าไร จนทำให้ผู้เกี่ยวข้องรวยเป็นเศรษฐี

อย่างที่หลายคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าวัดไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะไม่ใช่กิจการที่แสวงหากำไร และไม่จำเป็นต้องมีผู้ตรวจสอบบัญชี แต่อยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และกรมการศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วัดสามารถตกเป็นแหล่งทุจริต เช่น การฟอกเงิน ได้ง่าย ๆ

วัดเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับศรัทธา ทำให้ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีการสำรวจอย่างจริงจังว่า วัดมีรายรับรายจ่ายเท่าไรบ้าง อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม แห่งสถาบันวิจัยการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ได้เคยทำการศึกษาไว้ตั้งแต่ปี 2555

โดยในปีดังกล่าว วัดทั่วไทยมีรายรับรวมทั้งสิ้น 1,388 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนคือ

อันดับ 1 เงินบริจาคในโอกาสพิเศษ เช่น ทอดกฐิน ผ้าป่า สัดส่วน 30%

อันดับ 2 เงินบริจาคที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น งานซ่อมแซมโบสถ์ สัดส่วน 30%

อันดับ 3 เงินบริจาคทั่วไปจากผู้ที่มาไหว้พระ สัดส่วน 13%

อันดับ 4 รายรับกิจกรรม เช่น งานวัด สัดส่วน สัดส่วน 12%

อันดับ 5 รายรับจากการสร้างเครื่องบูชา สัดส่วน 8%

อันดับ 6 เงินบริจาคพิเศษเฉพาะบุคคลที่มีมูลค่าสูง สัดส่วน 5%

อันดับ 7 เงินสนับสนุนจากหน่วยงานราชการ สัดส่วน 2%

และยังมีรายรับอื่น ๆ อีกเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าการศึกษานี้จะนานแล้ว แต่ก็คาดว่าสัดส่วนรายรับของวัดน่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก เพราะที่ผ่านมา ยังวัดยังไม่สามารถถูกดิสรัปต์ได้ ทำให้ตีความได้ว่า เงินส่วนใหญ่ของวัดมาจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา

สัดส่วนดังกล่าวไม่น่าแปลกใจนัก เพราะการบริจาคเงินเข้าวัด นอกจากผู้บริจาคจะได้ความรู้สึกอิ่มใจที่ได้ทำบุญแล้ว ก็ยังมีประโยชน์ทางภาษีอีกด้วย โดยในปี 2561 สำนักงานสถิติแห่งชาติประเมินว่า ยอดเงินบริจาควัดของชาวพุทธจะอยู่ที่ 827 บาทต่อคน ซึ่งเมื่อมาคำนวณกับจำนวนผู้นับถือศาสนาพุทธในไทยปีนั้นที่จำนวน 63,299,192 คน แล้วก็จะได้ยอดบริจาคโดยรวมทั้งสิ้นที่ 52,348 ล้านบาท

และเมื่อนำตัวเลขดังกล่าวมาคำนวณกับจำนวนวัดทั้งหมดในไทยเมื่อปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 43,252 แห่งแล้ว ก็จะได้ว่าโดยเฉลี่ยวัดแต่ละแห่งในไทยมีรายรับถึง 1,200,000 บาท ต่อปีเลยทีเดียว

ถ้าเป็นบริษัททั่วไปมีรายได้ ก็จะมีสายตาจับจ้องจนมีการตรวจสอบอยู่ แต่อย่างที่กล่าวไปว่า วัดถือเป็นนิติบุคคลทางศาสนา ไม่ใช่องค์กรธุรกิจหรือหน่วยงานของรัฐ จึงไม่ต้องเปิดเผยงบการเงินหรือให้หน่วยงานภายนอกเข้าตรวจสอบเหมือนบริษัททั่วไป ระบบการบริหารภายในยังเป็นแบบลำดับชั้น ทำให้พระเป็นผู้ตรวจสอบกันเอง และยิ่งลดแรงควบคุมจากภายนอกลงไปอีก

ขณะที่ เงินบริจาคถูกมองว่าเป็นศรัทธา จึงไม่ถูกกำหนดให้ต้องรายงานต่อสาธารณะ ข้อมูลด้านทรัพย์สิน รายรับรายจ่ายของวัดส่วนใหญ่กลายเป็นเรื่องภายในที่ญาติโยมไม่สามารถเข้าถึงได้ ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมที่มองว่าการตั้งคำถามต่อวัดเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ก็ยิ่งทำให้การตรวจสอบยากขึ้น

ภาพรวมจึงเกิดช่องว่างที่ทำให้วัดกลายเป็นหนึ่งในสถาบันที่โปร่งใสน้อยที่สุดในสังคมไทย แม้จะมีบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมากก็ตาม การปฏิรูประบบตรวจสอบจึงเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง แต่ยังไม่ถูกขับเคลื่อนจริงจัง เพราะติดทั้งกฎหมาย วัฒนธรรม และอำนาจของคณะสงฆ์เอง

 

ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, TDRI