เครือข่ายแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรม ชูประเด็นความรับผิดชอบทางการเงินข้ามพรมแดน พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมของเอเชียในเวที BKKCAW

เครือข่ายแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรม ชูประเด็นความรับผิดชอบทางการเงินข้ามพรมแดน
พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมของเอเชียในเวที
BKKCAW

FFT และ FFA ร่วมมือกับหลายภาคส่วนจัดกิจกรรมครอบคลุมตั้งแต่การเสนอข้อเรียกร้องโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขง เวิร์กช็อปโดยเยาวชน และกิจกรรมวิ่งเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม ในงาน BKKCAW

ในงาน Bangkok Climate Action Week (BKKCAW) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand – FFT) และ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมเอเชีย (Fair Finance Asia – FFA) ร่วมจัดกิจกรรมหลายรูปแบบภายใต้หัวข้อ “Financing a Just and Inclusive Future: Mobilizing Community and Civil Society Voices for Climate Action and Just Transition” พร้อมระดมภาคประชาสังคม นักวิจัย ผู้นำชุมชน และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เข้าร่วมงานระหว่างวันที่ 30 กันยายน ถึง 3 ตุลาคม 2568

BKKCAW จัดขึ้นโดย Just Transitions Incubator (JUTI) ร่วมกับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration – BMA) ทำหน้าที่เป็นเวทีสำคัญให้เกิดการรวมตัวของผู้กำหนดนโยบาย ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อเร่งการสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมและยุติธรรม เนื่องในโอกาสสำคัญนี้ FFT และ FFA ได้ร่วมจัดกิจกรรมเพื่อขยายเสียงของชุมชนผู้ได้รับผลกระทบ และชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านการเงินข้ามพรมแดน พร้อมเรียกร้องให้มีการยกระดับกลไกการคุ้มครอง และหลักการด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการจัดหาเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานของเอเชีย

เบอร์นาเด็ต วิคตอริโอ หัวหน้าโครงการ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมเอเชีย ตอกย้ำถึงความจำเป็นด้านความรับผิดชอบในระดับภูมิภาค โดยกล่าวว่า “วิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศไม่ได้หยุดอยู่แค่เขตแดนระหว่างประเทศ การตัดสินใจทางการเงินที่เกิดขึ้นในเอเชีย ณ วันนี้ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน ระบบนิเวศ และสิทธิมนุษยชนในทุกพื้นที่ทั่วภูมิภาค สถาบันการเงินจึงต้องกำกับดูแลให้การลงทุนสอดคล้องกับหลักการด้านความยุติธรรมและความยั่งยืนมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในระยะสั้น”

สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย ยกตัวอย่างเสริมว่า “โครงการเขื่อนหลวงพระบางและเขื่อนปากแบงนั้นมีข้อบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อกำหนดของหลักการอีเควเตอร์ (Equator Principles) ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นผู้ลงนามรับรอง ข้อบกพร่องเหล่านี้ รวมถึงการขาดการประเมินผลกระทบเชิงสะสมและความเสี่ยงจากสารพิษที่อาจมาจากเหมืองแร่หายากในเมียนมาโดยเฉพาะกรณีโครงการปากแบง รวมถึงความไม่ชัดเจนในการนำข้อเสนอจากรายงานการทบทวนทางเทคนิคของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) ไปปฏิบัติในกรณีโครงการหลวงพระบาง นอกจากนี้ โครงการทั้งสองยังไม่แสดงหลักฐานการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญของหลักการอีเควเตอร์”

บทบาทของเยาวชน เพื่อการปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ

กิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของวันแรกคือเวิร์กชอปที่ขับเคลื่อนโดยเยาวชนในหัวข้อ “ไวรัลเพื่อการเปลี่ยนแปลง: เสริมพลังเยาวชนในการทำแคมเปญดิจิทัลด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม” โดยผู้นำเยาวชนด้านสภาพภูมิอากาศจากไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างกลยุทธ์ในการใช้สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโต้ข้อมูลเท็จด้านสภาพภูมิอากาศ และระดมความร่วมมือข้ามพรมแดนเพื่อความยุติธรรม

ความรับผิดชอบทางการเงินข้ามพรมแดน

กิจกรรมในวันที่สองเริ่มต้นด้วยงานแถลงข่าวที่ชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่สำคัญในการตรวจสอบสถานะด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence – HRDD) และการขาดกลไกการชดเชยเยียวยาของโครงการขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้ามพรมแดน ตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการของภาคการเงินเอเชีย ปิยนันท์ จิตต์แจ้ง ตัวแทน กลุ่มรักษ์เชียงของ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่เจาะลึกถึงปัญหาการกัดเซาะตลิ่งริมแม่น้ำ การสูญเสียวิถีชีวิต และความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ต่อมาคือเวทีเสวนาว่าด้วยคำให้การของชุมชน ซึ่งเน้นย้ำว่าโครงการที่มีความเสี่ยงสูงยังคงได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากของสถาบันการเงิน ทั้งที่มีการละเมิดคำมั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังขาดการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน และการยินยอมจากชุมชน

ตลอดวัน FFA และ FFT ได้จัดเวที Climate Action Marketplace หรือ “ศูนย์รวมไอเดียเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นยุติในเอเชีย” ซึ่งเป็นการบรรจบกันของปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ (climate action) กับความยุติธรรมทางสังคม (social justice) โดยได้ระดมสถาบันการเงิน หน่วยงานกำกับดูแล ผู้กำหนดนโยบาย ภาคประชาสังคม และเยาวชน มาร่วมแบ่งปันแนวคิดสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังมีการจัดเวทีเปิดไมค์ (open mic) ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมจากเครือข่ายและองค์กรพันธมิตรของ FFA อาทิ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมนานาชาติ (Fair Finance International – FFI) Asia Network for People’s Energy (ANPE) โครงการ Influencing Just Energy Transition (IJET) ของ Oxfam และ กลุ่มนักลงทุนเอเชียเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Asia Investor Group on Climate Change – AIGCC) รวมถึงพันธมิตรภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนผลงานวิจัยและกรณีศึกษา เพื่อสำรวจช่องว่างและโอกาสในการผลักดันปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมธรรม (Just Energy Transition – JET)

ต่อมาคือเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างภาคส่วนในหัวข้อ “ถอดรหัสความเสี่ยงและผลกระทบจากการแข่งขันระดับโลกต่อแร่หายากในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของเอเชีย” ที่ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการสร้างกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนการเงินข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังตอกย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องมีรากฐานมาจากสภาพความเป็นจริงในระดับท้องถิ่น และต้องได้รับการสนับสนุนด้วยหลักการความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญมาร่วมให้ข้อมูลเชิงลึก ในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:

  • ดร. อัมบียา อับดุลลาห์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy – ACE) อธิบายว่าแผนปฏิบัติการด้านพลังงานอาเซียน (ASEAN Plan of Action for Energy Cooperation – APAEC) ปี 2569 – 2573 กำหนดให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ครอบคลุมและยุติธรรม เป็นวาระสำคัญของภูมิภาคอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
  • ศุภณัฐ แก้วเล็ก นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ กระทรวงยุติธรรม สรุปแนวทาง “3P” (Policy, Practice, Partnership) ของประเทศไทย เพื่อผลักดันกฎหมายกระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้านภาคบังคับ (mandatory Human Rights and Environmental Due Diligence – mHREDD)

  • เอริค แลม ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank – ADB) เน้นย้ำถึงกรอบการดำเนินงานใหม่ของธนาคาร ซึ่งกำหนดให้ฉันทานุมัติที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้า และเป็นอิสระ (Free, Prior, and Informed Consent – FPIC) กลายเป็นข้อบังคับ
  • ไชตรา นายัก ผู้จัดการโครงการอาวุโสด้านการเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรม กลุ่มนักลงทุนเอเชียเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (AIGCC) ชี้ให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มนักลงทุน ในการเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับชุมชนตั้งแต่แรกเริ่มโครงการ
  • โรบี ฮาลิป กรรมการบริหาร Rights Energy Partnership with Indigenous Peoples (REP) เรียกร้องให้มีการเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อปกป้องสิทธิของชนพื้นเมือง

กิจกรรมสุดท้ายของวันคืองานเลี้ยงรับรองเพื่อสร้างเครือข่าย ซึ่งส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรม

วิ่งเพื่อความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ

วันสุดท้ายของการจัดกิจกรรมปิดฉากลงด้วยการวิ่ง “ก้าวแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว: วิ่งเพื่อความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ณ สวนเบญจกิติ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมจากเครือข่าย FFA ผู้เข้าร่วมงาน BKKCAW และประชาชนทั่วไป รวมแล้ว 70 คน ร่วมกันแสดงจุดยืนสนับสนุนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งเสริมการออกกำลังกายและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเท่านั้น แต่ยังสร้างความตระหนักรู้ให้สาธารณชนเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการจัดหาเงินทุนเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมในเอเชีย

การแลกเปลี่ยนตลอดทั้งสัปดาห์ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายหลักสำหรับสถาบันการเงินและองค์กรกำหนดนโยบายในเอเชีย นั่นคือ การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืนและยุติธรรม โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้นำเสนอแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการก้าวไปข้างหน้า ได้แก่ การผนวกหลักความรับผิดชอบเข้ากับกระแสเงินทุน การเสริมสร้างกลไกป้องกันผลกระทบข้ามพรมแดน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับสิทธิชุมชนและความยั่งยืนในทุกขั้นตอน ข้อสรุปภายในงานตอกย้ำว่าความน่าเชื่อถือของการเปลี่ยนผ่านพลังงานของเอเชีย ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้มีอำนาจตัดสินใจที่จะเปลี่ยนการหารือเหล่านี้ให้กลายเป็นการปฏิรูปที่วัดผลได้ และการลงทุนระยะยาวในแนวทางแก้ไขที่เน้นความเป็นธรรมและประชาชนเป็นศูนย์กลาง