BKI

The Success Story of The Month Year of Resilience ‘กรุงเทพประกันภัย’ กับเป้าหมาย Outperform

The Success Story of The Month By ‘Business+’ ฉบับเดือนกรกฏาคม 2566 จะพาผู้อ่านมาพบกับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจาก ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สามารถพลิกฟื้นธุรกิจด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง พร้อมเดินหน้าสู่ผู้นำประกันภัย Green Energy สอดรับเมกะเทรนด์โลก ขณะที่ยังเป็นบริษัทที่มุ่งยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่อยอดการเป็น Data-Driven Organization ด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด ควบคู่เสถียรภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน และสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดคือ ในวันนี้ กรุงเทพประกันภัย ได้สู่เป้าหมาย คือ การเติบโตอย่างยั่งยืนที่เหนือกว่าอุตสาหกรรม (Outperform Market)

BKI

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวกับ Business+ ว่า ผลการดำเนินงานในปี 2565 ว่า กรุงเทพประกันภัยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 26,676.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่สูงเกินเป้าหมายที่บริษัทฯ วางเอาไว้ โดยการเติบโตของเบี้ยประกันภัยมาจากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งประกันภัยรถยนต์ 10,923 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตที่ 17.2% ประกันอัคคีภัย 1,906.8 ล้านบาท เติบโต 10.6% ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 901.3 ล้านบาท เติบโต 15.2% และประกันภัยเบ็ดเตล็ด 12,945.2 ล้านบาท เติบโต 2.0%

โครงสร้างรายได้ BKI เบี้ยประกันภัยรับ 2565

ประเภทการประกันภัย มูลค่า (ลบ.) สัดส่วน
อัคคีภัย 1,906.80 7.15%
ภัยทางทะเล 901.3 3.38%
ภัยรถยนต์ 10,923.00 40.94%
ภัยเบ็ดเตล็ด 12,945.20 48.53%
รวม 26,676.30 100%

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาด ทำให้บริษัทฯ มีภาระผูกพันในการจ่ายเคลมสินไหมทดเเทนประกันภัยโควิด-19 ซึ่งสิ้นสุดลงแล้วในช่วงไตรมาสที่ 2 ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปี 2565 ยังคงขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 638.4 ล้านบาท แต่ด้วยการปรับตัวให้เท่าทันสถานการณ์ บริษัทฯ ยังมีรายได้สุทธิจากการลงทุนกว่า 6,254.69 ล้านบาท เข้ามาเสริมทำให้ยังคงยืนหยัดในความเเข็งแกร่งด้านเงินทุน เงินกองทุน เเละมีสินทรัพย์ที่มั่นคง

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 15.50 บาท ซึ่งมากกว่าปี 2564 ที่จ่ายปันผลทั้งปี 15 บาทต่อหุ้น นับเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก

ขณะที่เมื่อมองในแง่ของความแข็งแกร่งด้านฐานะทางการเงิน กรุงเทพประกันภัย ถือว่าเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก ด้วยอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) เท่ากับร้อยละ 193.8  ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดเอาไว้ นอกจากนี้ ยังคงรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินได้ในระดับสูง โดย Standard & Poor’s (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลกได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของกรุงเทพประกันภัยเอาไว้ที่ Credit Rating A- (Stable) ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 จากการที่กรุงเทพประกันภัย เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดี มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เงินกองทุนและสินทรัพย์ที่มั่นคง รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนที่น่าพึงพอใจเเละความสามารถในการทำกำไรที่ดี หลังผ่านพ้นความท้าทายในวิกฤตโรคระบาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัย เเละเเบรนด์ชั้นนำที่ครองใจคนไทยมายาวนาน

โดย ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่า เกิดจากนโยบายในการรับประกันภัยที่เน้นการรับประกันภัยอย่างระมัดระวัง และเมื่อไรก็ตามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ยกตัวอย่างเช่น สถานการณ์ COVID-19 ทาง กรุงเทพประกันภัยก็ยังคงมีเงินกำไรสะสมเพียงพอในบัญชีเพื่อจ่ายเคลมสินไหมทดแทนได้ครบ และยังสามารถนำออกมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุนได้ ซึ่งถือเป็นนโยบายในการดูแลทุกภาคส่วน ทั้งพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ขณะที่กรุงเทพประกันภัยยังตั้งเป้าหมายความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายเพิ่มอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ที่ระดับ 230-250%

“กรุงเทพประกันภัยได้รับเสียงชื่นชมเป็นส่วนใหญ่จากการบริหารจัดการค่าสินไหมทดแทน COVID-19 เนื่องจากลูกค้าของเราได้รับการชดเชยที่รวดเร็ว และไม่มีเงื่อนไขที่ซับซ้อน รวมไปถึงคู่ค้าและผู้ถือหุ้นที่พึงพอใจกับการบริการ ซึ่งนับเป็น Stakeholder ที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจ” ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว

‘กรุงเทพประกันภัย’ กับการเติบโตที่แกร่งกว่าอุตสาหกรรม

ขณะที่เมื่อมองถึงการเติบโตของธุรกิจในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 ของกรุงเทพประกันภัยยังคงมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้น โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 7,249.1 ล้านบาท เติบโต 9.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้วอยู่ที่ 465.4 ล้านบาท เติบโต 109% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยทุกหมวดของผลิตภัณฑ์ประกันภัยมีการเติบโตทั้งหมด ทั้งประกันอัคคีภัย ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง รวมถึงประกันภัยเบ็ดเตล็ด

โดยหากเจาะข้อมูลในส่วนของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ในไตรมาส 1 ปี 2566  ซึ่งกรุงเทพประกันภัยมีชื่อเสียงและส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย พบว่ามีการเติบโต มากกว่า 12% ขณะที่ประกันอัคคีภัยมีการเติบโตกว่า 20% และหมวดประกันภัยเบ็ดเตล็ด ซึ่งมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยค่อนข้างมาก ก็มีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ทั้งนี้ หากมองเเนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2566 ในภาพรวม ดร.อภิสิทธิ์ ประเมินว่า ภาพรวมธุรกิจจะได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีเเนวโน้มจะเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า หลังผ่านพ้นช่วงวิกฤตการเเพร่ระบาดของ COVID-19 เเละกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั่วโลกที่กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ

โดยธุรกิจประกันวินาศภัยจะได้รับประโยชน์จากยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโตเป็นบวกต่อเนื่องเป็นปีที่สอง อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติเเละชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งธุรกิจประกันภัยจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐบาลที่ได้จัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในอัตรา 150-300 บาทต่อคน โดยส่วนหนึ่งของค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะถูกนำมาซื้อประกันภัยคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และเป็นการเพิ่มโอกาสในการเพิ่มเบี้ยประกันภัยสุขภาพให้แก่บริษัทประกันภัยอีกด้วย

นอกจากนี้ ในส่วนของเบี้ยประกันภัยการประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risks) คาดการณ์ว่าจะได้เห็นอัตราเฉลี่ยของเบี้ยประกันภัยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 5-10% ตามภาพรวมอุตสาหกรรมที่ขยายตัวทั้งโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องมีการทำประกันภัยต่อ ซึ่งตลาดการรับประกันภัยต่อยังคงมีการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนเเรงและปัญหา Climate Change ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ต้นทุนการชดใช้ค่าสินไหมทดเเทนเพิ่มสูงขึ้น บริษัทประกันภัยจึงมีโอกาสได้รับเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้นตามไปด้วย

ขณะเดียวกัน ดร.อภิสิทธิ์ มองว่าการเเข่งขันด้านราคามีเเนวโน้มลดลง โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ ภายหลังจากที่บริษัทประกันภัยหลายแห่งต้องถูกปิดกิจการเเละประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักในปีที่ผ่านมาจึงทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของเบี้ยประกันภัยถูกกระจายไปยังบริษัทที่ยังคงมีความแข็งแกร่งทางฐานะการเงิน

สอดคล้องกับ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ที่ประเมินว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงขยายตัวอยู่ในช่วง 4.5-5% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังคงมีปัจจัยที่ท้าทายหลายประการ เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับเพิ่มขึ้น เเละอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการยกเลิกผ่อนปรนมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น

ในส่วนของกรุงเทพประกันภัยนั้น ดร.อภิสิทธิ์ คาดการณ์ว่าจะได้เห็นการเติบโตสูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 12.5 แบ่งเป็น เบี้ยประกันภัยรถยนต์ประมาณ 13,096 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือ Non-Motor ประมาณ 16,904 ล้านบาท เนื่องมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบกับหลายบริษัทประกันภัย ทำให้ลูกค้าใช้ปัจจัยหลายด้านในการพิจารณา โดยเฉพาะด้านความมั่นคงของบริษัทประกันภัย ซึ่งกรุงเทพประกันภัยถือว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความมั่นคงสูง จึงเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในปีนี้

3 กลยุทธ์ยกระดับ ‘กรุงเทพประกันภัย’ สู่ศักยภาพที่เหนือกว่า

สำหรับกลยุทธ์ที่กรุงเทพประกันภัยแตกต่างจากผู้เล่นอื่นในกลุ่มอุตสาหกรรม คือ ความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริการให้มีศักยภาพมากขึ้นด้วย 3 กลยุทธ์ดังนี้

  1. พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ ‘ให้มากกว่า’ เเละความคุ้มครอง ‘พิเศษมากขึ้น’

นั่นคือ การขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อย่างรับผิดชอบ ปรับกระบวนการคิดและการออกแบบความคุ้มครองให้สอดคล้องกับบริบทสังคมยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนเเปลงอยู่ตลอดเวลา ได้แก่

แผนประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special เป็นผลมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่ผู้บริโภครัดเข็มขัด กรุงเทพประกันภัยจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคผ่านความคุ้มครองที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น และคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสมกับสภาวะค่าครองชีพปัจจุบัน สำหรับประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special ของกรุงเทพประกันภัยถือเป็นเจ้าเเรกในตลาดประกันวินาศภัยไทยที่เพิ่มความคุ้มครองความเสียหายต่อกระจกบังลมรถยนต์ โดยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 7,300 บาท

สำหรับส่วนแบ่งตลาดประกันภัยรถยนต์ในปี 2565 กรุงเทพประกันภัยมีเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ จำนวน 10,507 ล้านบาท จัดอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดรองจากวิริยะประกันภัย และคุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย ด้วย Market Share 7.7% สำหรับ 4 เดือนแรกของปี 2566 กรุงเทพประกันภัยยังคงอันดับ 3 เช่นเดิมด้วยเบี้ยฯ ประมาณ 4,000 ล้านบาท และ Market Share ที่เพิ่มขึ้นเป็น 8.5%

แผนประกันภัยรถยนต์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยกรุงเทพประกันภัยได้รับประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ซ่อมห้างสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มีกระแสตอบรับที่ดีและมีจำนวนผู้ทำประกันภัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งประกันภัยมีความคุ้มครองแบบครบวงจรและครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าถึง 33 รุ่นจาก 20 แบรนด์ชั้นนำ ปัจจุบันมียอดสะสม (งานใหม่รวมต่ออายุ) ราว 2,000 คัน เป็นเบี้ยประกันภัยรวมมากกว่า 100 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2566

สำหรับส่วนแบ่งตลาดประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของกรุงเทพประกันภัยมีการรับประกันภัยรถยนต์ EV เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2565 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประมาณ 9% จัดอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดรองจากวิริยะประกันภัย และธนชาตประกันภัย (ตลาดมียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง EV รวมสะสม จำนวน 13,723 คัน) โดยปี 2566 สถาบันยานยนต์ได้คาดการณ์ว่าจะมียอดรถ EV จดทะเบียนใหม่ ประมาณ 50,000 คัน ซึ่งหากรวมกับรถที่มีอยู่เดิม จะทำให้มีรถ EV จดทะเบียนสะสมประมาณ 63,000 คัน ซึ่งกรุงเทพประกันภัยคาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรวมไม่ต่ำกว่า 120-140 ล้านบาท

แผนประกันภัยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เนื่องมาจากวิถีชีวิตของผู้คนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กรุงเทพประกันภัยจึงมีความตั้งใจพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ให้เหมาะสมกับผู้บริโภค และสอดคล้องกับความเสี่ยงในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในรูปแบบ Personalized Insurance ที่มีความเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ล่าสุดบริษัทฯ เตรียมเสนอเเผนประกันภัยสุขภาพ + จิตเวช ท่ามกลางสภาวะทางสังคมที่ไม่แน่นอน เปราะบางเเละมีเเรงกดดันมากขึ้น

แผนประกันภัยนักดำน้ำ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับกลุ่มนักดำน้ำ ทั้งผู้ที่เป็นมืออาชีพและมือสมัครเล่นในไทย ซึ่งความคุ้มครองได้ออกแบบมาเพื่อรองรับความเสี่ยงต่าง ๆ ของนักดำน้ำ โดยมีให้เลือกทั้งเเบบรายทริป (ตามจำนวนวันที่เดินทาง) เเละรายปี (สูงสุด 30 วันต่อการเดินทางในเเต่ละครั้ง)

  1. เพิ่มศักยภาพการบริการ “รวดเร็วเเละประทับใจมากยิ่งขึ้น”

นั่นคือ กรุงเทพประกันภัยมุ่งยกระดับการบริการที่ตอบโจทย์ด้านความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ทุกที่ทุกเวลาให้แก่ลูกค้าและคู่ค้า เพื่อส่งมอบบริการที่มีคุณภาพและได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น ดังนี้

อู่ชวนซ่อม เพื่อยกระดับอู่ซ่อมในสัญญาที่มีมากกว่า 580 แห่ง ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับโครงการอู่ชวนซ่อมจะมีการขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในทุกพื้นที่ เเละเป็นโครงการที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาอู่ในสัญญาทั้งหมดให้เป็นอู่ชวนซ่อม

ปรับลดระยะเวลาการจ่ายค่าซ่อมอู่ในสัญญาภายใน 3 วันทำการ ส่งผลให้ลูกค้าได้รับความสะดวกรวดเร็วในการนำรถเข้าซ่อม จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เป็นผลต่อเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19  ส่งผลให้อู่ในสัญญาซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัทฯ หลายแห่งขาดสภาพคล่องทางการเงิน (Cash Flow) ทางกรุงเทพประกันภัยจึงได้มีการปรับเร่งระยะเวลาการจ่ายค่าซ่อมให้กับอู่เหลือเพียง 3 วันทำการ จากเดิมจะดำเนินการจ่ายภายในระยะเวลา 5 วันทำการ ซึ่งถือว่ารวดเร็วอย่างมาก เมื่อเทียบกับระยะเวลาการจ่ายโดยเฉลี่ยในตลาดประกันภัยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 15-30 วันทำการ

อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าประกันภัยรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุและได้รับบาดเจ็บ ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) เพื่อเเบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแบบไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษา กรุงเทพประกันภัยจึงได้มีการนำร่องกับโรงพยาบาล 50 คู่สัญญาหรือกว่า 150 แห่ง ที่มีการทำจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นประจำ จากนั้นจะขยายไปถึงกลุ่มโรงพยาบาลคู่สัญญาอื่น ๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป

API Platform เชื่อมต่อกับ Partners โดยกรุงเทพประกันภัยได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ พัฒนาปรับปรุงระบบ Web Partner สำหรับคู่ค้า เพื่อขยายช่องทางการประกันภัยไปสู่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมขยายธุรกิจกับคู่ค้ารายใหม่ด้วยการเชื่อมต่อเทคโนโลยี API ผ่านระบบ BKI Digital Platform ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงประกันภัยได้ง่ายกว่าเดิม

Cloud Claims Contact Center ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาบริการและเพิ่มขีดความสามารถให้รองรับและดูแลลูกค้าให้หลากหลายและครอบคลุมทุกบริการมากยิ่งขึ้น ทางกรุงเทพประกันภัยจึงมีแผนดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพงานด้านสินไหมรถยนต์ โดยใช้เทคโนโลยี Cloud Contact Center เข้ามาช่วย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ สามารถให้บริการลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบออนไลน์ เพื่อรองรับการขยายตัวของปริมาณงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บริการ Self Service Notification สำหรับการเคลมประกันภัยรถยนต์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่นิยมทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้ครบจบทีเดียวบนโลกออนไลน์ สำหรับระบบ Self Service ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ลูกค้า สามารถเลือกได้ทั้งการเเจ้งอุบัติเหตุ เหตุฉุกเฉิน เเละเเจ้งเคลมประกันภัย กับเจ้าหน้าที่ Call Center โดยตรงได้ทันที ตามความสะดวกใจของลูกค้า

  1. มุ่งยกระดับด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่อยอดการเป็น Data-Driven Organization ด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด
    นั่นคือ กรุงเทพประกันภัยมุ่งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการประกันภัยที่ทันสมัยและมีคุณภาพ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทุกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลอย่างไร้ขีดจำกัด

ต่อยอด Data-Driven Organization โดยกรุงเทพประกันภัยให้ความสำคัญกับการเป็น Data-Driven Organization ที่ใช้ฐานข้อมูลในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า ปัจจุบันกำลังสร้างฐานข้อมูลใหม่แบบองค์รวมบน High-End Technology เพื่อให้มีข้อมูลสำหรับใช้ในการวิเคราะห์อย่างละเอียดครบถ้วนทุกมิติ ส่งต่อไปสู่การคิดแคมเปญส่งเสริมการขายแบบ Personalized Marketing

สร้างความเชื่อมั่นด้วยระบบ Cyber Security ที่เเข็งแกร่ง ทางกรุงเทพประกันภัยมีแผนจะเพิ่มระดับการป้องกันความปลอดภัยผ่านการติดตั้ง Endpoint Detection and Response (EDR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการตรวจสอบและตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบ Real-Time  นอกจากนี้ ได้จัดจ้างศูนย์เฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ Security Operation Center (SOC) ร่วมด้วย โดยทางทีมผู้เชี่ยวชาญของ SOC จะมีการแจ้งเตือน พร้อมให้คำแนะนำในการแก้ไขเพื่อลดความเสี่ยง ผลกระทบและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

ทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์ที่จะส่งเสริมการเติบโตของกรุงเทพประกันภัย ทั้งในแง่ของผลประกอบการ และการเป็นหนึ่งในบริษัทประกันภัยที่ลูกค้าเชื่อมั่น

 

BKI

นอกจากนี้ กรุงเทพประกันภัยตั้งเป้าหมายระยะยาวด้วยการเป็นบริษัทประกันภัยที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความสมดุลด้วยการมีเสถียรภาพและความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล สังคม และสิ่งแวดล้อม ดูแลใส่ใจครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มผ่านการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนงานด้านการรับประกันภัย และงานสินไหมทดแทนที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดยได้มีการรับประกันภัยธุรกิจ Green Energy ที่หลากหลายประเภทมาอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น Solar Power Plant, Wind Power Plant, Bio Gas Power Plant เป็นต้น โดยการรับประกันภัยธุรกิจ Green Energy มีเบี้ยประกันภัยรับรวมที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2565 มีเบี้ยประกันภัยรับประมาณ 500 ล้านบาท เติบโต 40% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 มีเบี้ยฯ จากธุรกิจประเภทนี้ประมาณ 200 ล้านบาท

จากการสัมภาษณ์ ดร.อภิสิทธิ์ ทำให้ ‘Business+’ มองเห็นว่ากรุงเทพประกันภัยเป็นบริษัทที่มีการปรับกลยุทธ์ และพัฒนาการให้บริการอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับเทรนด์ธุรกิจ และภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นสิ่งที่จะทำให้บริษัทแห่งนี้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในแผนการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะเข้ามารองรับธุรกิจด้าน Green Energy ที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดก็ถือว่าเป็นหนึ่งใน Rising Star ที่จะขับเคลื่อนกรุงเทพประกันภัยได้เหนือกว่ากลุ่มอุตสาหกรรม

สามารถติดตามบทสัมภาษณ์รูปแบบ Video ได้ที่ : https://youtu.be/SBabHbvSvdA

เขียนและเรียบเรียง : ศิริวรรณ อรรถสุวรรณ , พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS