บริหารสินทรัพย์

10 อันดับบริษัท ‘บริหารสินทรัพย์’ ที่รายได้ดีที่สุดในไทย

ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) เป็นอีกหนึ่งในธุรกิจที่ผู้ประกอบการไทยให้ความสนใจ เพราะในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับภาวะหนี้ครัวเรือนสูงมาตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นระดับที่ยืนเหนือระดับ 90% ของ GDP จึงทำให้เกิดหนี้เสีย (NPLs) ในระบบธนาคารเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ล่าสุดไตรมาส 1/68 หนี้ครัวเรือนไทยจะลดลงมาอยู่ที่ 87.4 ก็ยังถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์สากลที่ไม่ควรเกิน 80% ต่อ GDP

ซึ่งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงนี้ เพราะกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและทำให้การบริโภคลดลง รวมไปถึงการลงทุนภาคธุรกิจลดลงไปด้วย และสุดท้ายหากประชาชนมีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ ก็จะนำไปสู่ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ซึ่งกระทบต่อระบบการเงิน แต่หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในระบบการเงินนั้น กลับเป็นผลดีกลับบริษัทที่รับบริหารหนี้

เพราะหลักการสร้างรายได้ของธุรกิจประเภทนี้คือ การเข้าไปรับซื้อหนี้เสียจากธนาคารและสถาบันการเงินอื่นๆ และนำมาบริหารจัดการด้วยการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย ถ้าหากสามารถปรับโครงสร้างสำเร็จและลูกหนี้จ่ายในวงเงินที่สูงกว่าหนี้เสียที่ซื้อมาจากธนาคาร ทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นกำไร

พูดง่ายๆคือ ธุรกิจประเภทนี้คือการไปรับซื้อหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วันจากธนาคารด้วยราคาที่ต่ำกว่าวงเงินที่ลูกหนี้กู้ และนำมาบริหาร และติดตามหนี้รับต่อจากธนาคารเพื่อให้ได้รับเงินคืนจากลูกหนี้ที่สูงกว่าหนี้ที่ซื้อมา โดยธุรกิจประเภทนี้แล้วเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง วัดความสามารถกันที่วิธีนำมาบริหารเพื่อสร้างรายได้และกำไรในอัตราสูงที่สุด

ดังนั้นในช่วงที่เกิดภาวะหนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นจึงเป็นโอกาสสร้างรายได้ของบริษัทเหล่านี้ เพราะยิ่งมีหนี้เสียในระบบมากเท่าไหร่ บริษัทเหล่านี้ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเข้าไปซื้อหนี้เสียมาบริหารต่อเพื่อรับส่วนต่าง ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น

โดย ‘Business Plus’ ได้ทำการจัดอันดับ 10 บริษัทที่ทำธุรกิจ AMC และมีรายได้สูงที่สุดให้เห็นใน Infographic นี้

บริหารสินทรัพย์

จะเห็นว่าผู้เล่นทั้งหมดในช่วงปี 2567 ถึงแม้รายได้จะปรับตัวขึ้น แต่เมื่อเจาะมาที่กำไรสุทธิ กลับพบว่ามีการปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ จาก 5 อันดับแรกมีเพียงแค่ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เท่านั้นที่กำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น

และเมื่อเจาะไปยังอัตรากำไรสุทธิต้องบอกว่า โดยปกติแล้วธุรกิจประเภทนี้จะมีอัตราส่วนกำไรสุทธิค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่ในปีนี้กลับเป็นปีที่อัตรากำไรสุทธิต่ำลง โดยเราจะเห็นว่ามีเพียง BAM กับ บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ที่อัตราส่วนนี้สูงเกิน 10% ซึ่งมีปัจจัยลบมาจากยอดจัดเก็บที่ชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.39% ในปี 2567

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องกังวลนั่นคือ ถึงแม้ปัจจุบันธุรกิจนี้จะสร้างกำไรให้ผู้ประกอบการได้สูง แต่ก็มีความเสี่ยงเพราะเป็นธุรกิจที่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ และต้องอยู่ภายใต้กระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการควบคุมเองไม่ได้ นอกจากนี้ยังต้องบริหารจัดการโครงสร้างหนี้ให้ดีเพราะมีระยะเวลาสในการจัดเก็บหนี้ยาวนาน จึงต้องมีเงินทุนที่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นอาจจะเจอกับภาวะขาดสภาพคล่องได้

นอกจากนี้แล้วในอนาคตอาจจะมีคู่แข่งผุดขึ้นมาในตลาดอีกมากมาย จากการที่คลัง และธปท.มีแนวคิดในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเปิดเผยมาเบื้องต้นว่าอาจจะสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีความสามารถ จัดตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ เพื่อดึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เข้ามาอยู่ในกลไกการบริหารจัดการ และเมื่อไหร่ที่ผ่านการพิจารณาก็จะทำให้ตลาดนี้ที่ปัจจุบันมีแต่ผู้เล่นรายใหญ่หน้าเดิมๆเป็นเจ้าตลาดมีการแข่งขันที่ดุเดือดกว่าเดิม

ที่มา : Corpus X , BOT , IQ , เว็บไซต์บริษัท

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์