ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถสร้างโอกาสการเติบโตให้กับภาคธุรกิจได้มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ AI (Artificial Intelligence) มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะ AI สามารถเพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึกได้รวดเร็วและแม่นยำมากกว่ามนุษย์หลายเท่า ซึ่งช่วยในการตัดสินใจวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ รวมไปถึงจัดการกับความเสี่ยงเพื่อลดข้อผิดพลาดภายในองค์กร
ซึ่งที่ผ่านมา เราพบว่า บริษัทที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้และประสบความสำเร็จมีมากมาย เช่น บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลกที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI มาวิเคราะห์บนฐานข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างการใช้จ่ายเพื่อสั่งซื้อสินค้าของลูกค้าทุกราย เพื่อนำผลการวิเคราะห์นั้นมาวาง Demand Plan ในแต่ละช่วงเวลาให้เหมาะสมกับการทำการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย อีกทั้งยังนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่เป็นจุดบกพร่อง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
หรือแม้กระทั่งบริษัทรายใหญ่อย่างผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ก็นำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลระบบการทำงานภายในองค์กร และนำไปสู่วิธีการปรับปรุงกระบวนการผลิต ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้รวดเร็วขึ้น ลดความผิดพลาดได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์เหล่านี้ไปพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดได้เช่นกัน
แต่การที่จะปลดล็อกศักยภาพธุรกิจด้วย AI ได้มากถึงขนาดนั้น องค์กรจะต้องมีการทำ Digital Transformation อย่างแท้จริง ซึ่งหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ คือ การมีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย (Network Infrastructure) ที่ยืดหยุ่นพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และต้องมีระบบการเก็บข้อมูลที่มีเสถียรภาพ มีความปลอดภัยในการรักษาข้อมูลสูง เพื่อรองรับการนำ AI หรือ Technology ใหม่ ๆ มาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น Cloud Computing จึงถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง
แต่เรากลับพบว่า ข้อจำกัดของเครือข่าย รวมไปถึง Cloud ที่ให้บริการในประเทศไทยปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังค่อนข้างซับซ้อนในแง่ของการให้บริการ รวมไปถึงยังบริหารจัดการได้ยาก ไม่ยืดหยุ่น การต่อเชื่อมเครือข่ายในหลาย ๆ รูปแบบมีความยุ่งยาก หรือแม้กระทั่งการติดตั้งหรือปรับเปลี่ยนเครือข่ายใช้เวลายาวนานหลายสัปดาห์ จนทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไป
ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็น Pain Point สำคัญ โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก ต้องการเข้าถึงข้อมูลรวดเร็ว และต้องการความยืดหยุ่นพร้อมรองรับการเชื่อมต่อทุกรูปแบบ เพราะยิ่งมีข้อมูลและการเชื่อมต่อหลายแห่งระบบเครือข่ายก็จะซับซ้อนมากขึ้น
หนึ่งในผู้ให้บริการด้าน Network ในประเทศไทยอย่าง AIS ถือว่าเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ได้พัฒนาระบบการเชื่อมต่อเครือข่าย และการให้บริการด้าน Cloud Computing เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับลูกค้าองค์กร โดยแพลตฟอร์มนี้คือ AIS Business Network Portal ระบบการเชื่อมต่อเครือข่าย เก็บข้อมูล และการให้บริการของ AIS ที่ได้ถูกออกแบบให้มีความคล่องตัวขึ้น โดยลูกค้าองค์กรสามารถบริหารจัดการระบบได้ง่ายไม่ซับซ้อน สามารถควบคุมบริหารจัดการข้อมูลได้จากที่เดียว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจ
โดย Business Plus มองเห็นว่า จุดแข็งของ AIS คือการมีโครงข่ายที่แข็งแกร่งครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมทั้งการให้บริการเชื่อมต่อเครือข่ายสำหรับลูกค้าองค์กรแบบ B2B ที่มีเสถียรภาพสูง AIS Business Network Portal จึงถูกพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ลูกค้าองค์กรสามารถบริหารจัดการระบบเครือข่ายและข้อมูลได้อย่างง่ายดายจากศูนย์กลางเดียวกัน รองรับการเชื่อมต่อไปยัง Data Center และ Cloud หลากหลายแห่งได้พร้อมกันอย่างราบรื่น และในส่วนของการให้บริการ Cloud ภายในประเทศก็มีการสนับสนุนจาก Thai Hyperscale Cloud ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจในเรื่อง Data Sovereignty ตามกฎหมายไทย ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการจัดการข้อมูล
ในประเด็นนี้ คุณ Benny Yong How Lim, Head of Enterprise Data Service Business and Product, AIS ได้ให้สัมภาษณ์กับ Business Plus ว่า การเข้าสู่ยุค Digital Transformation ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ แต่ต้องเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร ทั้งในแง่ของวิธีการคิด การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง รวมไปถึงวิธีการดำเนินธุรกิจ
โดยเฉพาะกับการนำเทคโนโลยีอย่าง Cloud ทั้ง Hybrid และ Multi-Cloud รวมถึง AI และ Automation มาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในทุกภาคส่วน เริ่มตั้งแต่การเงิน การผลิต จนไปถึงการค้าปลีกและการบริการกับลูกค้า ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีความพร้อมสูง และสามารถรองรับการปรับตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
แต่ในช่วงที่ผ่านมากลับพบข้อมูลว่า ยังมีอีกหลายองค์กรที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรดิจิทัล เช่น การต้องใช้เวลานานถึงจะสามารถติดตั้งหรือปรับเปลี่ยนเครือข่ายได้ หรือแม้กระทั่งหากต้องการเพิ่มแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ตในช่วงการทำแคมเปญสำคัญของบริษัทก็ต้องใช้เวลายาวนาน ซึ่งทำให้เสียโอกาสที่สำคัญไปกับการเปลี่ยนถ่ายนี้
เป้าหมาย AIS Business เพื่อยกระดับธุรกิจไทย
เป้าหมายของ AIS Business คือการยกระดับศักยภาพของภาคธุรกิจไทย ด้วยการช่วยให้องค์กรสามารถใช้พลังของ Digital Transformation ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะในโลกธุรกิจปัจจุบัน แอปพลิเคชัน เวิร์กโหลด และฐานข้อมูลไม่ได้ถูกจัดเก็บไว้ที่ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียวอีกต่อไป แต่กระจายตัวอยู่บนแพลตฟอร์มหลากหลาย ทั้ง Public Cloud, Private Cloud, SaaS Platform, Data Center และสาขาต่าง ๆ ขององค์กรเอง
ซึ่ง AIS มองว่า เครือข่าย คือหัวใจสำคัญที่เชื่อมโยงองค์ประกอบทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน จึงมุ่งมั่นที่จะให้บริการเครือข่ายที่มีความทันสมัย ยืดหยุ่น และชาญฉลาด ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างดิจิทัลหลักให้องค์กรมีเครือข่ายที่พร้อม ปลดล็อกศักยภาพจากการลงทุนด้านดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ พร้อมขยายการดำเนินงานและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล
ดังนั้น ทาง AIS จึงได้พัฒนา AIS Business Network Portal แพลตฟอร์ม Self-service ที่ให้องค์กรสามารถควบคุมเครือข่ายของตัวเองได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง AIS Business Network Portal เป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่มีทั้งความเร็ว ความยืดหยุ่น และความโปร่งใสในการจัดการเครือข่าย ดังนั้นจึงพร้อมสำหรับองค์กรที่ต้องการนำนวัตกรรมมาสร้างมูลค่าและความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของ AIS Business Network Portal คือ กลุ่มลูกค้าองค์กรที่กำลังอยู่ในเส้นทางของการทรานส์ฟอร์มสู่ความเป็นองค์กรดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถแบ่งองค์กรเป็นกลุ่มจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานได้ดังนี้
- องค์กรที่เริ่มนำระบบ Automation มาใช้งาน : ทั้งในส่วนของการผลิต การบริการ หรือกระบวนการภายในอื่น ๆ สิ่งที่องค์กรเหล่านี้ต้องการ คือ เครือข่ายที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เสถียร และมีประสิทธิภาพสูง
- องค์กรที่ใช้ Hybrid Cloud หรือ Multi-Cloud : ซึ่งการจัดเก็บเวิร์กโหลดหรือแอปพลิเคชันไว้ในดาตาเซ็นเตอร์หลายแห่ง ต้องการเครือข่ายที่ฉลาด ยืดหยุ่น และสามารถเชื่อมโยงทุกจุดได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อรองรับการสื่อสารและจัดการทรัพยากรในทุกสภาพแวดล้อม
- กลุ่มผู้ให้บริการ OTTs และองค์กรข้ามชาติ : ซึ่งต้องการโครงข่ายที่ให้ค่าความหน่วงต่ำ (Low Latency) มีความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อ และสามารถบริหารจัดการความจุของทราฟฟิกได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับโลก
“กลุ่มเป้าหมายของเรา คือ ทุกธุรกิจที่มองเห็นว่าเครือข่ายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ดิจิทัล โดยเฉพาะองค์กรที่มีโครงสร้างพื้นฐาน IT หลากหลาย ต้องการความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อ ความปลอดภัยในการสื่อสารข้อมูล และการขยายตัวที่รวดเร็วตามการเติบโตของธุรกิจ ซึ่ง AIS Business พร้อมที่จะเป็นพันธมิตรที่จะร่วมสนับสนุนการการทรานส์ฟอร์มสู่ความเป็นองค์กรดิจิทัลให้กับทุกองค์กร” คุณ Benny Yong How Lim กล่าว
จุดเด่นของ AIS Business Network Portal
เมื่อถามถึงจุดเด่นของ AIS Business Network Portal คุณ Benny ได้พูดถึง 4 ประเด็นหลัก ๆ นั่นคือ 1. เปิดใช้บริการรวดเร็ว : โดย AIS สามารถเปิดใช้บริการให้กับลูกค้าองค์กรได้ภายใน 1 วันทำการ จากระบบเดิมจะต้องใช้เวลาในการติดตั้ง และเปิดใช้บริการประมาณ 1–2 สัปดาห์ ดังนั้น การให้บริการของ AIS Business Network Portal จึงเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องเปิดสาขาใหม่ หรือรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน
- องค์กรสามารถปรับแบนด์วิดท์เองได้แบบเรียลไทม์ : โดยลูกค้าองค์กรของ AIS สามารถที่จะเพิ่มหรือลดปริมาณการรับส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต (Data-Transfer) ได้เป็นรายวันตามแผนการตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ
- สัญญามีความยืดหยุ่น : โดย AIS Business Network Portal มีการให้บริหารที่ยืดหยุ่นกว่าสัญญาเดิม โดยเริ่มที่ 1 เดือน จากสัญญาเดิมที่ต้องเริ่มที่ 12 เดือน ซึ่งสามารถช่วยให้ลูกค้าองค์กรปรับกลยุทธ์เครือข่ายได้ทันตามสถานการณ์
- ระบบ Self-Service โปร่งใส ตรวจสอบได้ : โดยผู้ใช้งาน AIS Business Network Portal สามารถตรวจสอบบิล ดู Performance และตั้งค่าเครือข่ายด้วยตัวเองทันที ไม่ต้องรอทีมเจ้าหน้าที่เข้ามาจัดการให้เหมือนในอดีต
AIS กับเครือข่ายที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ และการเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูลกว่า 20 ประเทศ
เมื่อถามถึงความพร้อมด้านการให้บริการเครือข่ายของ AIS และความพร้อมของศูนย์ข้อมูล (Data Center) คุณ Benny กล่าวว่า AIS ได้มีการเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการนี้ ด้วยเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทย และยังมีโครงข่ายไฟเบอร์ออปติกความยาวกว่า 160,000 กิโลเมตร เชื่อมต่อทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งช่วยให้สามารถส่งมอบการเชื่อมต่อที่มีเสถียรภาพและค่าหน่วงต่ำ (Low Latency) ได้อย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูลและคลาวด์ AIS สามารถเชื่อมต่อกับศูนย์ข้อมูลมากกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ และพร้อมรองรับการเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการ Public Cloud ชั้นนำระดับโลกโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Azure, Google Cloud, AWS, AIS Oracle Cloud รวมถึง Huawei Cloud ที่มีดาตาเซ็นเตอร์อยู่ในไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ลูกค้าองค์กรสามารถเข้าถึงทรัพยากรบนคลาวด์ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรระดับโลก โดยที่ AIS สามารถเชื่อมต่อไปยังศูนย์ข้อมูลและแพลตฟอร์มคลาวด์ยอดนิยมทั่วโลก ช่วยให้ลูกค้าองค์กรขยายธุรกิจได้แบบไร้พรมแดน รองรับการทำงานแบบ Global Enterprise
ขณะที่ AIS ยังมุ่งมั่นพัฒนาบริการอินเทอร์เน็ตที่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านเทคโนโลยีอย่าง SD-WAN และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหลัก (Backbone) ขนาดใหญ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยแบนด์วิดท์รวมสูงถึง 14 Tbps ซึ่งรองรับการใช้งานแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพในระดับสูงได้อย่างมั่นใจ
นอกจากความพร้อมเรื่องเครือข่ายแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของการให้บริการลูกค้าองค์กรของ AIS คือ แนวคิดการให้บริการแบบ NaaS (Network-as-a-Service) ที่ให้ลูกค้าบริหารจัดการเครือข่ายได้เองผ่าน AIS Business Network Portal ไม่ว่าจะเป็นการเปิดใช้งานการเชื่อมต่อใหม่ภายใน 1 วันทำการ การปรับแบนด์วิดท์ตามต้องการแบบรายวัน หรือแม้แต่เลือกสัญญาแบบยืดหยุ่น เริ่มต้นแค่ 1 เดือน ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบเดิมที่ค่อนข้างมีข้อจำกัดและบริหารจัดการยาก อีกทั้งยังมอบอิสระให้ลูกค้าควบคุม ตรวจสอบ และปรับแต่งการเชื่อมต่อได้ผ่าน AIS Business Network Portal เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจมีความคล่องตัวในการบริหารเครือข่าย ลดข้อจำกัดของระบบเดิมที่ต้องใช้เวลานานและมีขั้นตอนซับซ้อน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการเดินหน้า Digital Transformation ได้เร็วและยืดหยุ่น
อีกทั้งยังมีความพร้อมใช้งานสูงและค่าความหน่วงต่ำ โดย AIS สามารถรับประกันความพร้อมใช้งานของระบบสูงสุดถึง 100% พร้อมให้ค่าความหน่วง (Latency) ต่ำที่สุด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับระบบที่ต้องทำงานต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ เช่น ในโรงงานอัตโนมัติ การเงิน หรือการดูแลสุขภาพ
นอกจากนี้ AIS ยังไม่ได้หยุดพัฒนาแค่บริการในปัจจุบัน แต่คุณ Benny กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมก่อนเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากกับโลกธุรกิจอย่าง Quantum Computing ด้วยการออกแบบและพัฒนา AIS Quantum Safe Network หลังจากเล็งเห็นถึงความท้าทายด้านความปลอดภัยในยุค Quantum จึงได้พัฒนาเครือข่ายที่สามารถเข้ารหัสในระดับพอร์ตเพื่อป้องกันภัยจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ซึ่งยังคงมีต้นทุนการเชื่อมต่อที่ต่ำ เพื่อปกป้องข้อมูลของลูกค้าในระยะยาวให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด
“จุดแข็งของเครือข่าย AIS ไม่ได้อยู่แค่ความเร็วหรือความครอบคลุมเพียงอย่างเดียว แต่คือการผสมผสานของเทคโนโลยี ความยืดหยุ่น และวิสัยทัศน์ที่ตอบโจทย์อนาคตได้อย่างรอบด้าน” คุณ Benny Yong How Lim กล่าวในตอนท้าย
จากบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ Business Plus มองว่า เทคโนโลยีเพื่อภาคธรุกิจนั้น เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น การให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลหรือการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลก็จะต้องมีการพัฒนาอยู่สม่ำเสมอ ซึ่งขีดความสามารถของการใช้เทคโนโลยีในภาคธุรกิจ คือ โครงข่ายโทรคมนาคมและการสื่อสาร หากมีรากฐานสิ่งเหล่านี้ที่แข็งแกร่ง ก็จะทำให้การพัฒนาของเศรษฐกิจดิจิทัลเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้แล้ว การเลือกเครื่องมือที่มีศักยภาพให้ตอบสนองทุกกระบวนการของธุรกิจจะมีผลสำหรับการเติบโตขององค์กรอย่างมาก ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างถูกต้อง รอบคอบ ปลอดภัย และสอดคล้องกับจริยธรรม จะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในท้ายที่สุด
สำหรับธุรกิจองค์กรที่กำลังวางแผนในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน AIS Business พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจ โดยท่านสามารถติดต่อทีมงาน AIS Business เพื่อสอบถามข้อมูลรายละเอียดได้ที่ อีเมล business@ais.co.th หรือ ติดต่อเจ้าหน้าที่ AIS Business ที่ดูแลองค์กรของคุณ
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม https://m.ais.co.th/EKH6v6qFy