RISE เปิดตัวโปรแกรม AI Accelerator เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยเป็นโปรแกรมที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ในการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อพัฒนานวัตกรรมองค์กร
Regional Corporate Innovation Accelerator สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการผลักดันนวัตกรรมองค์กร เปิดตัวโปรแกรม AI Accelerator เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นโปรแกรมเร่งสปีดการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) มาใช้ในองค์กร มุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ และสามารถตอบโจทย์ขององค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
RISE.AI เป็นโปรแกรมเร่งสปีดนวัตกรรมในด้าน AI สำหรับองค์กร โดย RISE ทำงานร่วมกับเครือข่ายพาร์ทเนอร์ที่ครอบคลุมทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก โดยใช้ความเชี่ยวชาญของ RISE ในการนำ AI มาใช้เพื่อพัฒนานวัตกรรมองค์กร เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและนำไปใช้ได้จริง ด้วยการเชื่อมต่อแนวคิดเชิงนวัตกรรมเข้ากับแนวทางปฏิบัติที่ประยุกต์ใช้ได้ในการเร่งสปีดการพัฒนาเทคโนโลยี AI
โปรแกรม RISE.AI นี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรม AI ที่ดีที่สุดจากทั่วโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาร่วมกันพัฒนาโครงการนำร่องต่าง ๆ กับบริษัทชั้นนำในภาคธุรกิจต่าง ๆ เช่น การเงิน & การธนาคาร ประกันภัย พลังงาน และเทคโนโลยีสะอาด เป็นต้น องค์กรชั้นนำในประเทศไทยที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ) บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) โดยโปรแกรมนี้จะจัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน – กันยายน พ.ศ. 2562
ณัฐภัทร ธเนศวรกุล Head of Ventures ของ RISE กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีโดยรวมของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการจัดตั้งวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในองค์กรธุรกิจ จะช่วยให้องค์กรระดับภูมิภาคต่าง ๆ สามารถปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสมและยกระดับผลิตภัณฑ์ และบริการต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ขณะนี้ อุตสาหกรรมของ AI กำลังเติบโตและมีผลกระทบอย่างมากต่อทั้งธุรกิจและสังคม ซึ่งการเพิ่มขึ้นของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนและพัฒนามากมายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้องค์กรเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจ ปฏิรูปวิธีการ เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เพื่อให้องค์กรสามารถทำธุรกิจของตนเอง และแข่งขันในเศรษฐกิจโลกได้ ดังนั้น ธุรกิจต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น
อีกทั้ง จากข้อมูลวิจัยของ McKinsey ได้ระบุว่า การปรับใช้ AI จะส่งผลทำให้กำไรของธุรกิจต่าง ๆ ในทุกภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี พ.ศ. 2578 โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา การให้บริการที่พัก & อาหาร และการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 70% นอกจากนี้ มีการคาดว่าการใช้ AI ในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก การเกษตร ป่าไม้ การประมงและการดูแลสุขภาพจะทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 50%
รวมทั้งเมื่อพิจารณาถึงความได้เปรียบจากการนำ AI มาใช้ในตลาดก่อนคู่แข่งขัน ในขณะนี้ ธุรกิจต่าง ๆ มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาขีดความสามารถด้าน AI ของตนเองเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันดังกล่าว
“อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้นั้นจะต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง บริษัทส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาทรัพยากรไม่เพียงพอในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ภายในองค์กร และยังไม่สามารถเข้าถึงนักพัฒนา AI ทั่วโลกได้อีกด้วย สภาพแวดล้อมเหล่านี้ คือเหตุผลว่าทำไมโปรแกรม RISE.AI จึงถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับองค์กรต่าง ๆ และนักพัฒนา AI ทั่วโลกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อร่วมกันทำงานที่มีศักยภาพและรักษาความสามารถในการแข่งขันในเศรษฐกิจโลกที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลง”ณัฐภัทร กล่าว
ด้านธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการอาวุโสสายงานบริหารเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ปตท.สผ กล่าวว่า “ ปตท.สผ ได้วางแผนในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในหลายส่วนที่สำคัญขององค์กร เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจขององค์กร ทางเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะเข้ามาเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่มีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการของโปรแกรม RISE.AI ที่จะช่วยให้ ปตท.สผ ค้นหาสตาร์ทอัพที่ดีที่สุดจากทั่วโลกมาผลักดันนวัตกรรมองค์กรด้าน AI
RISE.AI เป็นโปรแกรมเร่งสปีด AI ที่ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเข้าถึงแหล่งคอมมูนิตี้ AI ทั่วโลก โดยโปรแกรมนี้จะคัดเลือกสตาร์ทอัพจากความสามารถในการแก้ไขปัญหาในโจทย์ที่ได้รับจากแต่ละองค์กร ทั้งนี้ สตาร์ทอัพด้าน AI ทั้งหมดที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโปรแกรม จะมีโอกาสเข้าร่วมแคมป์เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการนำร่องต่าง ๆ เป็นเวลา 9 สัปดาห์กับพันธมิตรองค์กรชั้นนำต่าง ๆ ของ RISE และรับการให้คำปรึกษาส่วนตัวจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จาก New York University Tandon Future Labs เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าในโครงการที่สร้างขึ้นภายในกรอบเวลาของโปรแกรมมีศักยภาพระดับสากล
นอกจากนั้น ด้วยโปรแกรมการประเมินเชิงกลยุทธ์และการให้คำปรึกษาจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญของ RISE.AI จะทำให้ RISE.AI เป็นแพลตฟอร์มที่มีแนวโน้มในการพัฒนา AI ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สำเร็จ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในเดือนเมษายน พ.ศ. 2562 โดยมีแผนที่จะจัดงานโรดโชว์ในเมืองใหญ่ 10 แห่ง ทั่วเอเชีย ได้แก่ กรุงเทพฯ สิงคโปร์ โตเกียว เมืองโฮจิมินห์ ปักกิ่ง หางโจว เซินเจิ้น ฮ่องกง โซล และไทเป
ด้าน มีนา ซาลิบ ผู้อำนวยการโครงการจาก New York University Tandon Future Labs ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางกลยุทธ์ ของ RISE.AI กล่าวว่า “ โปรแกรม RISE.AI เป็นโอกาสที่ดีที่สุด สำหรับสตาร์ทอัพ ที่ต้องการการขยายตัวและการเติบโตของธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะองค์กรธุรกิจในภูมิภาคนี้ทุ่มการลงทุนในเทคโนโลยี AI เป็นอย่างมาก ดังนั้น ผมจึงสนับสนุนให้สตาร์ทอัพ AI จากทั่วโลกเข้าร่วมกับ RISE.AI ซึ่งถือเป็น Corporate AI Accelerator ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”