‘Business Crack’ ครั้งนี้จะพาไปเจาะอุตสาหกรรมเครื่องประดับที่ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในงานฝีมืออัญมณีและเครื่องประดันอันดับต้นๆ ของโลกจากความโดดเด่นงานฝีมือ ความละเอียดของงาน ดังนั้นในประเทศไทยจึงกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนเพื่อผลิตเครื่องประดับสู่ตลาดโลกมากมาย จนทำให้ไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินอันดับ 2 ของโลก และส่งออกพลอยสีเป็นอันดับ 3 ของโลก
โดยในปี 2567 มูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป) มีมูลค่า 9,609 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10.99% โดยพลอยสีมีมูลค่าการส่งออกที่ก้าวกระโดด 2 เท่าตัวเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากไทยจะมีความสามารถในการผลิตเครื่องประดับแล้ว ยังเป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งการตลาดในการบริโภคทองคำรวมติดอันดับ 1 ใน 3 ของเอเชีย และติดอันดับ 7 ของโลก (ข้อมูลจาก GIT Information Center) ขณะที่ไทยยังเป็นประเทศที่เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องประดับให้กับแบรนด์ระดับโลกหลากหลายแบรนด์เช่นกัน ดังนั้น อุตสาหกรรมเครื่องประดับในไทยจึงถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมทั้งการผลิต การจำหน่าย และการบริโภค ทำให้ตลาดนี้มีมูลค่าที่สูงมากๆ และมีการจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ซึ่ง ‘Business Plus’ ได้ทำการจัดกลุ่มธุรกิจในอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย สามารถแบ่งเป็นธุรกิจย่อยหลักๆ ได้ 3 ธุรกิจ ดังนี้
- ธุรกิจเกี่ยวกับทองคำ
- ผลิตเครื่องประดับจากอัญมณีและโลหะมีค่า
- ร้านค้าปลีกเครื่องประดับ
ทีนี้ไปดูข้อมูลแต่ละตลาดผ่าน Infographic ต่อจากนี้กันเลยว่าในแต่ละกลุ่มธุรกิจมีใครครองส่วนแบ่งการตลาดด้านรายได้สูงที่สุด และภาวะตลาดในแต่ละหมวดตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง
ธุรกิจค้าทองครบวงจร รายได้พุ่งช่วงราคาทองขึ้น แต่มาร์จิ้นต่ำเรี่ยดิน บางรายเหลือ 0%
จากข้อมูลใน Infographic จะเห็นว่า รายได้ และกำไรสุทธิของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับทองคำ (นำเข้า จำหน่าย ส่งออกทองคำ) ในปี 2567 มีการเติบโตก้าวกระโดด เพราะในช่วงปี 2567 เป็นปีที่ราคาทองขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่หลายครั้ง แต่การเครื่องไหวก็มีความผันผวนสูง จนทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจนี้บางเฉียบ บางรายแทบไม่มีกำไรขั้นต้นเลย เพราะตามธรรมชาติของธุรกิจซื้อมาขายไปนั้น จะมีกำไรขั้นต้นต่ำ และยิ่งบริหารจัดการด้านความเสี่ยงเรื่องราคา หรือทำ Hedging ด้านราคาทองได้ไม่ดีในช่วงที่ราคาทองขึ้นและลงอย่างรวดเร็วก็ยิ่งทำให้กำไรขั้นต้นแทบจะไม่เหลือ
โดยพบข้อมูลว่าในปี 2567 ธุรกิจที่เกี่ยวกับทองคำยังเติบโต แต่เป็นการเติบโตแบบจำกัด ถึงแม้ในประเทศไทยจะมีความต้องการในการบริโภคที่ขยายตัว โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ขยายตัวราว 10% ต่อปี แต่ถ้าหากเราเจาะเข้าไปแบบแยกเป็นผลิตภัณฑ์กลับพบข้อมูลว่า ความต้องการบริโภคทองคำที่เพิ่มขึ้นมาจากทองคำแท่งและเหรียญทองคำ ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าที่ถูกซื้อเพื่อการลงทุน ไม่ใช่เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ
ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและค่าครองชีพที่สูงขึ้นต่อเนื่องทำให้คนลดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างเครื่องประดับลง และเลือกที่จะขายทองที่ถือครองอยู่เพื่อทำกำไรและเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
แต่ร้านทองที่มีการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะการออมทอง ออนไลน์ หรือธุรกิจลงทุน/ซื้อขายทองล่วงหน้า รวมไปถึงการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ธุรกิจนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ เพราะต้องใช้เงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี และการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์สูง เพื่อให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงเพียงพอสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน สอดคล้องกับโครงสร้างตลาดที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ครองส่วนแบ่งรายได้ถึง 93.5% ของตลาด ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กมีสัดส่วนรวมกันเพียง 6.5% เท่านั้น
สำหรับภาวะการแข่งขันนั้น ปี 2567 มีผู้ประกอบการในธุรกิจร้านทองทั่วประเทศที่จดทะเบียนนิติบุคคลและยังคงดำเนินเนินกิจการอยู่จำนวนทั้งสิ้น 9,728 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีจำนวน 9,425 ราย สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของธุรกิจร้านทองในประเทศ โดยจำนวนผู้ประกอบการที่จัดตั้งใหม่มีจำนวน 491 ราย แปลว่าธุรกิจร้านทองยังคงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาด แต่ที่ผ่านมาก็มีผู้ประกอบการบางส่วนที่ต้องปิดกิจการ โดยปี 2567 มี 177 รายที่เลิกกิจการ เท่ากับว่า มีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจ รวมถึงผลกระทบจากต้นทุนดำเนินงานที่สูงขึ้นและพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อขายทองทำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น (ข้อมูลจาก LH BANK)
ส่วนราคาทองคำในปี 2568 มีการคาดการณ์ว่าจะทรงตัวในระดับสูง แต่ยังคงต้องเจอกับความผันผวนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสงคราม โดยปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำให้ยังอยู่ในระดับสูง คือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะลดลง 2-3 ครั้งตลอดปี 2568 จะทำให้ทองคำในฐานสินทรัพย์ปลอดภัยที่ไม่มีดอกเบี้ยดึงดูดใจนักลงทุนได้ดี
ผลิตเครื่องประดับจากอัญมณีและโลหะมีค่า ไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องประดับและอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
โดยธุรกิจนี้เราพบนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 1 ม.ค. 68 – 21 ส.ค. 68 จำนวน 68 ราย เพิ่มขึ้น 9.68% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่นิติบุคคลทั้งหมดที่ดำเนินกิจการอยู่ปัจจุบัน 1,494 ราย เพิ่มขึ้น 0.81% จากสิ้นปีที่แล้ว ด้วยทุนจดทะเบียนรวม 20,973 ล้านบาท
แต่บริษัทที่มีส่วนแบ่งด้านรายได้สูงที่สุดนั้น จาก Infographic จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทผลิตเครื่องประดับจากอัญมณีเป็นบริษัทต่างชาติที่มาตั้งฐานการผลิตในไทย เพราะไทยถือเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากช่างฝีมือไทยที่มีศักยภาพ นั่นจึงทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกเครื่องประดับติดอันดับท็อปๆ ของโลก
และในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทส่วนใหญ่บนธุรกิจนี้สามารถสร้างกำไรสุทธิ และรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะเติบโตอย่างชะลอตัว ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ McKinsey & Co ได้ระบุว่า ผู้บริโภคจะใช้จ่ายรายจ่ายไม่ประจำของพวกเขาไปกับการซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ไว้ใจได้ โดยจะเป็นผลดีต่อสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีความคงทนซึ่งหมายรวมถึงอัญมณีและเครื่องประดับด้วย เนื่องจากผู้ซื้อตระหนักดีถึงมูลค่าจากการลงทุนในช่วงเวลาแห่งความผันผวน นั่นจึงทำให้แบรนด์ดังๆ อย่าง บริษัท แพนดอร่า โพรดักชั่น จำกัด ผู้ผลิตเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในโลก สัญชาติเดนมาร์กที่มาตั้งฐานการผลิตในไทย มีกำไรสุทธิที่เติบโตได้ถึง 20%
ขณะที่ถ้าหากเรามองเป็นภาพรวมพบว่า ล่าสุดถึงวันที่ 21 ส.ค. 68 มีนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการร้านขายปลีกเครื่องประดับ เช่น ทอง ทองคำแท่งและทองรูปพรรณ หินมีค่า นาก เงิน อัญมณีอื่นๆ และเครื่องเพชรพลอย ทั้งแท้และเทียมอยู่ทั้งหมด 9,996 ราย เพิ่มขึ้น 2.75% ทุนจดทะเบียน 80,997.76 ล้านบาท (ข้อมูล DBD)
ร้านขายเครื่องประดับ กำไรลดลงยกแผงหลังกำลังซื้อหดตัวตามเศรษฐกิจ
ข้อมูลล่าสุดในเดือนส.ค.ปี 2568 พบว่า ในธุรกิจขายเครื่องประดับมีจำนวนกิจการที่ยังดำเนินการอยู่มากถึง 9,996 ราย ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.75% ด้วยทุนจดทะเบียน 80,997.76 ล้านบาท ซึ่งทำให้เห็นว่ายังมีคนให้ความสนใจกับการทำธุรกิจขายปลีกเครื่องประดับ ถึงแม้ว่ากำไรสุทธิส่วนใหญ่จะออกมาไม่ดีนักในปี 2567
จาก Infographic จะเห็นว่าบริษัทที่ติดอันดับ 1-5 นั้นมีกำไรสุทธิลดลงไปแล้ว 4 บริษัท มีเพียงแค่ บริษัท ทิฟฟานี แอนด์ โค. จิวเวลเลอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้นที่กำไรสุทธิโตเกือบ 57% สวนกระแส
และเมื่อเจาะข้อมูลเข้าไปรายบริษัท กลับพบว่าบริษัทที่เป็นตัวแทนให้กับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Cartier โดยบริษัท ริชมอนด์ ลักซ์ชัวรี (ประเทศไทย) จำกัด ก็มีกำไรสุทธิที่ลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เช่นเดียวกับแบรนด์ค้าปลีกเพชรที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในไทยอย่างบริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ที่กำไรลดลงไปเพียง 30% เทียบกับเจ้าอื่นที่ลดลงมากถึง 80% ขึ้นไป นั่นจึงทำให้เป็นการตอกย้ำว่า การซื้อเครื่องประดับของคนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวนั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดคือเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียง น่าเชื่อถือ
ในภาพรวมแล้วนะเห็นว่า ทิศทางการส่งออกอัญมณีเครื่องประดับปี 2568 ผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับไทยมีโอกาสที่ดีในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ซึ่งทำให้อำนาจการซื้อของคนสูงขึ้นแต่ผู้ประกอบการด้านเครื่องประดับต้องใช้ประโยชน์จาก Ai ที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น ทั้งการทำ CRM กับลูกค้า ใช้ทำการตลาดให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันไทยเราก็มีคู่แข่งทางการตลาดที่น่าจับตามอง คือ จีนและอินเดีย ที่เร่งพัฒนาคุณภาพและกำลังผลิตเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ขณะที่สหรัฐฯ อิตาลี ฮ่องกง เป็นคู่แข่งที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยและมีทักษะทางการผลิตสูงเช่นกัน
ที่มา : LH Bank , กรุงศรี , Corpus X , GIT , DBD , FIT
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์