เนื้อหมูและเครื่องใน เป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่สหรัฐฯ นำมาใช้ต่อรองการค้ากับไทย เพราะที่ผ่านมาเราเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากสหรัฐฯ สูง แต่ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ น้อยมาก จึงมีโอกาสที่ไทยต้องถูกบีบให้เปิดตลาดเพิ่มการนำเข้า
แต่เมื่อเราวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันพบว่า หมูไทยยังมีข้อด้อยกว่าสหรัฐฯ หลายอย่าง ดังนั้น หากเปิดตลาดเข้ามาจริงๆ หมูสหรัฐจะกลายเป็นตัวเลือกหลักของเจ้าของธุรกิจ เพราะต้นทุนต่ำกว่า แต่ก็จะเป็นฝันร้ายของเกษตรกรที่จะถูกบีบให้เลิกกิจการมากขึ้น และในแง่เศรษฐกิจนั้น ไทยจะเสียมูลค่าตลาดเนื้อหมูไปถึง 112,330 ล้านบาท
โดยสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ฉบับใหม่ โดยประเทศไทยจะโดนเรียกเก็บในอัตรา 36% และจะมีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. 2568 ซึ่งสหรัฐฯ มีแนวโน้มกดดันให้ไทยนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในที่ Made in USA ตามที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ได้ประเมินไว้ให้ไทยต้องเปิดตลาด และเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากสหรัฐฯ สูง ในขณะที่ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ น้อย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่หมูไทยมีข้อด้อยกว่าหมูจากสหรัฐฯ เกือบทุกด้าน เพราะหมูสหรัฐฯ มีความโดดเด่นในด้านการผลิตระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลก คิดเป็น 12.6 ล้านตัน หรือ 11% ของผลผลิตหมูทั้งโลก ส่วนไทยผลิตได้น้อยกว่าสหรัฐฯ 8 เท่า หรือผลิตได้ราว 1.6 ล้านตัน
นอกจากนี้สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก คิดเป็น 3.2 ล้านตัน หรือ 31% ของปริมาณส่งออกหมูทั้งโลก แต่ะไทยกลับมีสัดส่วนการส่งออกน้อยมาก ที่มีอยู่ในปัจจุบันเน้นใช้ในประเทศเป็นหลัก
ในแง่ของอาหารเลี้ยงหมู สหรัฐฯ มีความพร้อมด้านวัตถุดิบราคาถูก ทั้งข้าวโพดและถั่วเหลืองที่สหรัฐฯ ผลิตเองได้มาก แต่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพด และถั่วเหลือง
ขณะที่ความพร้อมของฟาร์มนั้น พบว่า ขนาดฟาร์มสหรัฐฯ มีหมูมากกว่า 5,000 ตัว/ฟาร์ม และส่วนใหญ่เป็น factory farm ส่วนไทยเป็นฟาร์มขนาดเล็ก มีหมูมากกว่า 50 ตัว/ฟาร์ม และส่วนใหญ่เป็นฟาร์มแบบดั้งเดิม ด้านสัดส่วนการผลิตหมูที่ได้จากฟาร์ม สหรัฐฯ : 90% มาจากฟาร์มขนาดใหญ่ แต่ไทยมีสัดส่วน 75% มาจากฟาร์มขนาดกลาง
ขณะที่ต้นทุนการผลิตสหรัฐฯ ต่ำกว่าไทยมากจากการมี Economy of Scale ในฟาร์มขนาดใหญ่ แต่ไทยต้นทุนสูงจากการมีฟาร์มขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ราคาหมูไทย แพงกว่าสหรัฐฯ 1.3 เท่า เพราะศักยภาพหมูสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง และมีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้สหรัฐฯ สามารถขายหมูได้ในราคาต่ำ โดยในช่วงปี 2563-2567 ราคาขายหมูสหรัฐฯ เฉลี่ยที่ 1.7 ดอลลาร์ฯต่อกก. ขณะที่ราคาขายหมูไทย เฉลี่ยที่ 2.3 ดอลลาร์ฯต่อกก.
ดังนั้น หากไทยยอมเปิดตลาดให้หมูสหรัฐฯ เข้ามาตีตลาดเนื้อหมูและเครื่องในราคาถูกจากสหรัฐฯ ที่จะทะลักเข้ามายังไทย จะกระทบต่ออุตสาหกรรมหมูไทยที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นหลัก ซึ่งแต่ละผู้เล่นต่างมีความเชื่อมโยง และจะกระทบต่อเนื่องกันเป็น Domino Effect ดังนี้
- เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู จำนวน 1.49 แสนราย ที่เกือบทั้งหมดเป็นรายย่อยกว่า 97% จะได้รับผลกระทบโดยตรงให้ว่างงาน และขาดรายได้ ซ้ำเติมเดิมที่ผู้เลี้ยงลดลงไปแล้วกว่า 21% ในช่วงปี 2564-2567 จากภาวะขาดทุนสะสมจนต้องเลิกกิจการไป
- เกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ อย่างรำสด ข้าวโพด ปลายข้าวซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในประเทศที่ใช้เลี้ยงหมูราว 5 ล้านครัวเรือน จะมีผลผลิตเหลือ และกดดันราคาให้ตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกรกลุ่มนี้ให้ลดลง
- โรงชำแหละ อาจถูกตัดวงจรขั้นตอนนี้ไป จนต้องเลิกกิจการในที่สุด
- เขียงหมู ถูกกดดันรายได้บางส่วนจากเนื้อหมูและเครื่องในหมูสหรัฐฯ ที่ทำการแยกชิ้นส่วนสำเร็จพร้อมบริโภคมาบ้างแล้ว
- มูลค่าตลาดเนื้อหมูไทย คาดสูญเสียเบื้องต้นราว 112,330 ล้านบาท ในกรณีที่ไทยเปิดตลาดให้เนื้อหมูสหรัฐฯ เข้ามาอย่างเสรี 100% ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวยังไม่นับรวมความสูญเสียในกรณีที่ไทยนำเข้าเครื่องในหมูด้วย
- ผู้บริโภคและร้านอาหาร แม้จะสามารถซื้อเนื้อหมูและเครื่องในหมูสหรัฐฯ ได้ในราคาถูก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารได้ แต่ในระยะยาว สารเร่งเนื้อแดง ในหมูสหรัฐฯ จะทำให้ผู้บริโภคอาจเกิดอาการข้างเคียงต่อสุขภาพได้หลากหลาย
จะเห็นได้ว่า มีความจำเป็นอย่างมากที่สหรัฐฯ ต้องการส่งออกเนื้อหมูและเครื่องในไปยังประเทศต่างๆมากขึ้น จากการผลิตมากกว่าความต้องการบริโภคถึง 1.27 เท่า แต่ประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมานั้น ผลผลิตเพียงพอกับการบริโภคในประเทศ จึงทำให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ดี แต่การนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ จะทำให้เกิดภาวะหมูล้นตลาด ทำให้ราคาต่ำลง ซึ่งดีต่อผู้ประกอบการปลายน้ำ อย่างเช่นร้านอาหารต่างๆ แต่กลับส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่เป็นต้นน้ำ รวมไปถึงโรงชำแหละที่อาจกระทบจนถึงขั้นปิดกิจการในท้ายที่สุด