หมีเนย ยังฮิต! รายได้ทะลุ 540 ล้าน อัตรากำไร 40%

“น้องหมีเนย” หรือ Butterbear เริ่มมามีกระแสเต็มโซเชียลครั้งแรกคือปี 2023 จากคลิปไวรัลหลายคลิป ซึ่งตามธรรมชาติของกระแสโซเชียลนั้น มีมาสักพักก็จะเงียบไป แต่ก็เรียกได้ว่า น้องหมีเนย ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องแม้จะผ่านไปเป็นปีแล้ว

สะท้อนให้เห็นจากรายได้ปี 2024 ที่พุ่งไปถึง 545 ล้านบาท และยังมีกำไรทะลุ 212 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิถึง 39% ซึ่งอาจนับได้เป็นตัวเลขระดับ “ปรากฏการณ์” เลยก็ว่าได้ เพราะอย่าลืมว่านี่คือร้านขายขนม เบเกอรี และของใช้ทั่วไป ที่ปกติจะมีมาจิ้นไม่สูงนัก

ก่อนจะวิเคราะห์ความสำเร็จของน้องหมีเนย เราไปอ่านประวัติกันก่อน Butterbear ก่อตั้งโดยคุณบูม ธนวรรณ วงศ์เจริญรัตน์ ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณดาว ณัฐธยาน์ ปางพุฒิพงศ์ เจ้าของร้าน Coffee Beans by Dao โดยนอกเหนือจาก Butterbear แล้ว คุณบูมยังเป็นเจ้าของร้าน Skinnylicious ด้วย

ในช่วงแรก Butterbear จะขายสินค้าแค่ทางออนไลน์เท่านั้น แต่เมื่อกระแสตอบรับดี คุณบูมจึงตัดสินใจมาเปิดหน้าร้านครั้งแรกที่ห้าง Emsphere ในช่วงปลายปี 2023 โดยที่มีมาสคอตคือ น้องหมีเนย ที่เราคุ้นเคยกัน

แน่นอนว่ากลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์ก็ต้องเป็น กลุ่มคนอายุน้อยและวัยรุ่น ดังนั้นการตลาดที่เหมาะสมก็ย่อมเป็นแบบไวรัล ที่เน้นการทำคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างเอนเกจเมนต์ ซึ่งก็อย่างที่เรารู้กันว่า Butterbear ได้รับผลตอบรับดีอย่างมาก ๆ โดยที่มีจุดเปลี่ยนสำคัญมาจากคลิปวันเด็ก น้องหมีเนยเต้นท่ามกลางมาสคอตหลายตัว หน้าห้าง Emsphere จนคนชื่นชอบความน่ารักและความฮีลใจ จึงโดนหมีเนยตกกันเกือบหมด

ความน่ารักของน้องหมีเนยไม่ใช่เพียงแค่การออกแบบที่สวยงาม แต่เป็นการสร้าง “ตัวตน” ที่มีเอกลักษณ์และสามารถเชื่อมโยงอารมณ์กับผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง เช่น การทำคลิปมีมหรือเต้นโคฟเวอร์ K-pop น้องเนย เพื่อสร้างบุคลิกของน้องให้มีมิติมากกว่าความน่ารัก ก็ทำให้ดึงดูดใจทั้งคนไทยและผู้ชมชาวจีน จนเป็น “แฟนดอม” ที่แข็งแกร่ง ที่กระแสไม่จางหายไปง่าย ๆ

จึงไม่น่าแปลกใจนักที่น้องหมีเนยจะสามารถยกระดับจากมาสคอตทั่วไปไปจนถึงระดับ Superstar สังเกตได้จากเวลาน้องไปที่ไหน ก็จะมีแฟนคลับมาคอยต้อนรับจำนวนมากจนถึงขั้นห้างแตก ไม่ต่างกับดาราดังคนหนึ่ง ในขณะที่หน้าโซเชียลของร้านก็ต้องมีการลงตารางการเดินสายของน้องหมีเนยในแต่ละวัน เพื่อแจ้งให้แฟนคลับได้รู้

การตลาดแบบ Superstar นี้เองทำให้บริษัทสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ง่าย โดยยกตัวอย่างเช่น สินค้าเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับน้องเนย ผู้บริโภคจะไม่มองว่าเป็นของใช้ แต่จะเป็นของสะสมหรือของฝากให้คนอื่น ที่มีมูลค่าทางใจสูง จึงทำให้พร้อมจ่าย แม้จะมีราคาที่สูง นอกจากนี้เอง ฐานแฟนคลับของน้องเนยที่เป็นคนจีนมีกำลังใช้จ่ายสูงจำนวนมาก ก็ส่งผลให้สินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ข้อดีอีกอย่างของการมีโมเดลธุรกิจแบบนี้ก็คือ บริษัทยังสามารถสร้างรายได้จากการไปร่วมมือกับแบรนด์อื่น เพื่อออกสินค้าคอลเลกชันพิเศษ ซึ่งวิธีการนี้ Butterbear แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติมมาก เพราะเป็นการให้ใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเท่านั้น แต่ได้รายได้เข้ามาเต็ม ๆ

ปัจจัยที่กล่าวไปนี้ ประกอบกับการสลับขายสินค้าที่มีมาจิ้นสูงและการที่ จึงเป็นที่มาอัตรากำไรสุทธิที่สูงลิ่วถึงเกือบ 40% ในขณะที่ร้านเบเกอรีทั่วไปจะมีมาจิ้นไม่ถึง 15% ด้วยซ้ำ

สรุปแล้ว Butterbear เป็นตัวอย่างของการตลาดที่ประสบความสำเร็จ จนสามารถยกระดับสินค้าของตัวเองได้ ซึ่งอัตรากำไรที่สูงและกระแสน้องหมีเนยนี้จะอยู่ไปถึงตอนไหน ไม่มีใครบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ คือตอนนี้ไม่มีใครต้านความร้อนแรงของ “น้องหมีเนย” ได้แล้ว

ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ผู้เขียนและเรียบเรียง: พรบวร จิรภัทร์วงศ์