เปรียบเทียบ KOI กับ Fire Tiger 2 แบรนด์ชานมไข่มุก ที่ความสามารถทำกำไรต่างกัน

ตลาดชานมไข่มุกในไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างหนัก โดยวันนี้ทาง Business plus จะพามาเปรียบเทียบโมเดลธุรกิจของ KOI Thé และ Fire Tiger 2 แบรนด์ชื่อดังในตลาดชานมไทย โดยแม้ว่าทั้งสองแบรนด์จะมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่รู้หรือไม่ว่า อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของ KOI Thé อยู่ที่ประมาณ 7% ขณะที่ Fire Tiger อยู่ที่ราว 5% เท่านั้น  ถึงแม้ว่า KOI Thé จะมีราคาเริ่มต้นต่อแก้วที่ถูกกว่า

โดย KOI Thé ก่อตั้งในไต้หวันและเข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันมีสาขากว่า 70 แห่งทั่วประเทศไทย เป็นแบรนด์ที่มีจุดเด่นคือการชูคุณภาพสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐานสูง ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากไต้หวันอย่างพิถีพิถัน ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าวัยเรียนและวัยทำงานที่พร้อมจ่าย เพื่อประสบการณ์ที่คุ้มค่า

โดย KOI Thé ทำการตลาดผ่านการจัดโปรโมชันที่เจาะกลุ่มเป้าหมาย ทั้งส่วนลดแลกคะแนนและโปรโมชันพิเศษสำหรับสมาชิก ในขณะที่เมนูซิกเนเจอร์ของ KOI Thé คือ Golden Bubble และยังมีเมนูไอศกรีมมะพร้าวเฉพาะในไทย ในขณะที่เมนูชานมราคาเริ่มต้นที่ 75 บาท

สำหรับรายได้ย้อนหลังคือ

ปี 2565 รายได้ 486 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 84 ล้านบาท กำไรสุทธิ 35 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 584 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 116 ล้านบาท กำไรสุทธิ 53 ล้านบาท

ปี 2567 รายได้ 609 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 103 ล้านบาท กำไรสุทธิ 32 ล้านบาท

โดยที่มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ราว 7%

ส่วนแบรนด์ต่อมา Fire Tiger เปิดตัวในปี 2560 มี 16 สาขาในไทย โดยมีกลยุทธ์เน้นดีไซน์ร้านและเมนูที่มีเอกลักษณ์ เช่น เทคนิคเบิร์นน้ำตาลจนเกิดลวดลายเสือที่เป็นซิกเนเจอร์ พร้อมกลิ่นคาราเมลเฉพาะตัว Fire Tiger ยังร่วมมือกับแบรนด์ใหญ่อย่าง MK เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ และใช้โปรโมชันต่าง ๆ เช่น ซื้อ 1 แถม 1 หรือฉลองวันครบรอบ เพื่อดึงดูดลูกค้าอีกด้วย และโดยเมนูที่ได้รับความนิยมคือ Tiger Sugar ชานมไข่มุกบราวน์ชูก้า และชานมไข่มุกครีมชีส โดยที่มีเมนูชานมราคาเริ่มต้นที่ 130 – 150 บาท

สำหรับรายได้ย้อนหลัง (ส่งงบล่าสุดปี 2566) คือ

ปี 2564 รายได้ 114 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 43 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5 ล้านบาท

ปี 2565 รายได้ 146 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 68 ล้านบาท กำไรสุทธิ 8 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 167 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 76 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11 ล้านบาท

โดยมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ราว 5%

จะเห็นได้ว่า KOI Thé ทำกำไรสุทธิได้มากกว่า แม้ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 75 บาท ส่วนหนึ่งเพราะว่า ทางร้านอาจจะไม่ได้ลงทุนในการตลาดมากเท่า Fire Tiger และมักจะเปิดร้านขนาดเล็ก จ้างพนักงานอยู่ที่ 3-5 คนต่อสาขา ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลงได้ นอกจากนี้การที่แบรนด์มีจำนวนสาขาเยอะก็ส่งผลให้สามารถประหยัดต่อขนาดได้

ในขณะที่ Fire Tiger ราคาขายสูงกว่าเริ่มต้นที่แก้วละ 130-150 บาทต่อแก้ว และสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่สูงกว่า KOI Thé อย่างไรก็ตาม ทาง Fire Tiger จะเน้นทำการตลาดมากกว่า และยังเปิดบางสาขาเป็นร้านขนาดใหญ่ ทำให้มีต้นทุนสูง จนส่งผลให้มีอัตรากำไรสุทธิที่ต่ำกว่า KOI Thé

สรุปแล้ว จะเห็นได้ว่าแบรนด์ KOI Thé มีต้นทุนขายที่ค่อนข้างสูง จากการที่ร้านเน้นการคุมคุณภาพของวัตถุดิบ ส่วนแบรนด์ Fire Tiger มุ่งเน้นสร้างภาพลักษณ์และประสบการณ์ใหม่ แม้จะดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ดี แต่ต้นทุนที่สูงก็จะจำกัดโอกาสในการทำอัตรากำไรสุทธิให้เทียบเท่า KOI Thé

ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, เว็บไซต์ของบริษัท

เขียนและเรียบเรียง: จิราพร โชคสวัสดิ์นุกูล

 

#BusinessPlus

#ธุรกิจ

#ชานมไข่มุก