รถยนต์ไฟฟ้า คือ สินค้าพิทักษ์โลก

รู้หรือไม่ว่าทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศสูงถึง 4.2 ล้านราย ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าการบาดเจ็บบนท้องถนนหรือโรคมาลาเรียเสียอีก หรือปีนี้ปีเดียว ประเทศไทยต้องเผชิญกับการกลับมาของวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก  PM2.5 ถึง 2 ครั้ง และแนวโน้มนี้ไม่มีทีท่าจะลดลง หากทุกคนยังละเลยในการลดมลพิษทางอากาศต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยังมีหนึ่งบริษัทที่มองเห็นความสำคัญและตั้งเป้าหมายว่า จะร่วมผลักดันในการลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายให้ได้ 90% ภายในปี 2593 และบริษัทที่ว่านั้นคือ นิสสัน (Nissan)


เรามีโอกาสคุยกับ ‘ราเมช นาราสิมัน’ ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ต่อประเด็นท้าทายอุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังถูก Disruption ในหลายมิติ 

มิติหนึ่งคือ การเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์แบบสันดาป กลายมาเป็นกระแสตอบรับยานยนต์ไฟฟ้า

บริษัทวิจัยชื่อดังอย่าง Deloitte ได้คาดการณ์ถึงจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า จะสามารถแซงหน้ารถยนต์แบบธรรมดาได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า

ขณะที่นิสสันได้เตรียมการณ์ในเรื่องนี้มานานแล้ว แล้วพร้อมจะเสนอสินค้าชนิดนี้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก แต่ที่ลึกไปกว่านั้น หลายคนยังไม่รู้ว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน เท่ากับเป็นการช่วยโลกใบนี้ของเราให้สะอาดขึ้นได้

คุณราเมช นาราสิมัน ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ยืนยันกับเราว่า

“รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพียง 1 คัน สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.5 ตันต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้มากถึง 205 ต้น”

ที่น่าตกใจว่านั้นคือ คุณรู้หรือไม่ว่า ปัจจุบัน อัตราการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศมีจำนวนมากกว่าการบาดเจ็บบนท้องถนน หรือโรคมาลาเรียเสียอีก 

นอกจากนี้ 91% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ส่งผลให้ทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศสูงถึง 4.2 ล้านราย

เฉพาะปีนี้ปีเดียว หลายจังหวัดในประเทศไทยต้องเผชิญกับการกลับมาของวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก  PM2.5 ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพถึง 2 ครั้ง เราจึงต้องเร่งหามาตรการเพื่อขจัดมลพิษทางอากาศในระยะยาวอย่างเร่งด่วน

การก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการจราจรที่แออัด เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพ ไม่เพียงเฉพาะประเทศไทย แต่ยังรวมถึงประเทศที่มีรายได้ต่ำ ปานกลาง และสูงอีกด้วย

ปัญหาสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ กำลังได้รับการพิจารณาแก้ไขในระดับประเทศ โดยรัฐบาลมีมติเห็นชอบในแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ แต่แนวทางการแก้ไขอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน

“ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ‘นิสสัน ลีฟ ใหม่ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% และเทคโนโลยี e-POWER ที่มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ จะช่วยให้ผู้คนนับล้านมีอากาศสะอาดไว้หายใจมากขึ้น”

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คุณรู้หรือไม่ว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1 คัน ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.5 ตันต่อปี

เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ต้นไม้ 1 ต้น สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ถึง 22 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งหมายความว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1 คัน ให้ประโยชน์เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 205 ต้น

สำหรับ นิสสัน ได้กำหนดเป้าหมายในการจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ได้ 1 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2565 ซึ่งจะทำให้ นิสสัน มีส่วนสำคัญช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 4.5 ล้านตันต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 2.05 พันล้านต้น 

ตัวอย่างข้างต้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของรถไฟฟ้าในการลดมลพิษทางอากาศ ‘นิสสัน’ ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับโลก ด้วยยอดขาย นิสสัน ลีฟ กว่า 430,000 คันจากทั่วโลก และผู้ขับขี่ นิสสัน ลีฟ ทุกคัน ได้ร่วมกันประหยัดน้ำมันไปแล้วถึง 3.8 ล้านบาร์เรลทุกปี หรือลดปริมาณก๊าซ CO2 ได้ถึง 1 ล้านตัน

นอกจากนี้ นิสสันยังตั้งเป้าเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากผลิตภัณฑ์ลง 90% ภายในปี 2593

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 23 เท่า และเมื่อดูเฉพาะยอดขายของปีที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามียอดขายรวมทั่วโลกสูงถึง 4 ล้านคัน 

ในขณะที่ทั้งอุตสาหกรรมใช้เวลาถึง 6 ปีในการขายรถยนต์ไฟฟ้ารวมกันได้ 1 ล้านคันแรก แต่ตอนนี้เราใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 6 เดือนในการขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 1 ล้านคัน 

การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยรายงานด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ของ Deloitte ได้คาดการณ์ถึงจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถแซงหน้ารถยนต์แบบธรรมดาได้ภายใน  3 ปีข้างหน้า

อีกก้าวสำคัญของนิสสันเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ คือ การพัฒนาเทคโนโลยี  e-POWER ซึ่งพร้อมจะโลดแล่นบนท้องถนนของไทยเร็ว ๆ นี้ 

โดยระบบส่งกำลังไฟฟ้า e-POWER ของนิสสันใช้เครื่องยนต์เบนซินเพื่อชาร์จแบตเตอรีกำลังไฟสูง ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบ 100% ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ทั้งยังมีอัตราการปล่อยไอเสียน้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ผมขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยอย่างเต็มที่ ในการผลักดันให้เกิดการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ได้ถึง 1.2 ล้านคันภายในปี 2579

และนิสสันพร้อมร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้า (รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และ  e-POWER) เป็น 25% จากรถยนต์ทั้งหมดที่จำหน่ายในเอเชียและโอเชียเนีย 

นอกจากนี้  นิสสันยังได้ประกาศแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 8 รุ่น และตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันต่อปี ภายใน 2565