ดาต้าวัน เอเชีย (ประเทศไทย) ขานรับนโยบาย Thailand 4.0 และ Digital Transformation จับมือไอ-สปริ้นท์ อินโนเวชั่น นำเสนอโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนดิจิทัล (Digital Identity) มุ่งขยายตลาดเจาะครอบคลุมกลุ่มธุรกิจในประเทศไทย
อดิศร แก้วบูชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาต้าวัน เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่ ปัจจุบันองค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายถึงปริมาณความต้องการในการใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน
การมาถึงของ Digital Transformation และนโยบายเศรษฐกิจ Thailand 4.0 ทำให้องค์กร และอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนแนวการบริหารจัดการ และการดำเนินธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน และธุรกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการระบบการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยืนยันตัวตนในการเข้าถึงข้อมูลภายในองค์กรมีความต้องการสูงยิ่งขึ้น
ความร่วมมือกับไอ-สปริ้นท์ อินโนเวชั่น ผู้นำด้านระบบรักษาความปลอดภัยการยืนยันตัวตนที่สมบูรณ์แบบครบวงจร ครั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตลาดการใช้งานระบบซิเคียวริตี้ในองค์ธุรกิจให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจในประเทศไทย ทั้งกลุ่มการเงิน และการธนาคาร กลุ่มประกันชีวิต ธุรกิจโทรคมนาคม สถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐบาล ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน กลุ่มเฮลธ์แคร์ และอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ อย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน บริษัท ไอ-สปริ้นท์ อินโนเวชั่น ซึ่งเดิมมีฐานลูกค้าในภาคธุรกิจธนาคาร อยู่แล้ว ต้องการการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทุกภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมกลุ่มการเงิน การธนาคาร นั่นหมายความ ไอ-สปริ้นท์ อินโนเวชั่นจำเป็นต้องมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งที่มีศักยภาพมหาศาลในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในประเทศ นำมาซึ่งความร่วมมือกับ ดาต้าวัน เอเชีย
ทั้งนี้ ดัช อึง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-สปริ้นท์ อินโนเวชั่น กล่าวว่า ดาต้าวัน เอเชีย มีเครือข่ายการทำธุรกิจทั้งในส่วนบริษัทคู่ค้า(Partner) และฐานลูกค้าองค์กร (End User) เป็นจำนวนมากซึ่งจะช่วยให้ไอ-สปริ้นท์สามารถเข้าถึงและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดธุรกิจไอทีในประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้น
“สำหรับเรา ดาต้าวัน เอเชีย คือพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะช่วยให้เราพิชิตกลุ่มธุรกิจธนาคาร สถาบันการเงิน ธุรกิจโทรคมนาคม กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มเฮลธ์แคร์ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในประเทศไทยได้”
ซึ่งการขยายฐานธุรกิจในประเทศไทยครั้งนี้สนองตอบต่อนโยบาย Thailand 4.0 ที่เกิดขึ้นเพื่อการพัฒนา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (value-based economy) ที่เน้นการบริหารจัดการด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กก้าวสู่การเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ
ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่านโยบายดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการในการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจให้เพิ่มสูงยิ่งขึ้นในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า โดยไอดีซีได้คาดการณ์ไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) จะส่งผลมหาศาลต่อการใช้จ่ายด้านไอทีในประเทศไทย
โดยในปี 2016 ตัวเลขค่าใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศอยู่ที่ราว 4.15 แสนล้านบาท และเป็นที่คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นถึง 5 แสนล้านบาทในปี 2020 ซึ่งเป็นที่เชื่อมั่นว่านอกเหนือธุรกิจด้านการเงินและการธนาคารแล้ว ในกลุ่มประกันชีวิต สถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐบาล ภาครัฐวิสาหกิจ กลุ่มเฮลธ์แคร์ และอุตสาหกรรมการผลิตจะเป็นฐานลูกค้าองค์กรในกลุ่มธุรกิจหลักต่อไปที่จะผลักดันให้การใช้งานไอทีในธุรกิจเติบโตสูงขึ้น
“ที่สำคัญ การเกิดขึ้นของ Thailand 4.0 จะเป็นตัวกระตุ้นความต้องการใช้งานระบบซิเคียวริตี้ที่มีความแข็งแกร่งเพื่อลดปัญหาการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับและระบบภายในโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความอ่อนแอของระบบ ด้วยประสบการณ์ในการให้บริการผลิตภัณฑ์และโซลูชั่น และการพิสูจน์ตัวตน (versatile authentication) มากว่า 16 ปี ลูกค้าของไอ-สปริ้นท์ครอบคลุมสถาบันการเงินทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม สาธารณูปโภค อุตสาหกรรมการผลิต เฮลธ์แคร์ การศึกษา องค์กรข้ามชาติ และอื่นๆ” ดัช อึง กล่าว
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่น ไอ-สปริ้นท์ อินโนเวชั่น ที่ออกแบบมาเพื่อทำตลาดในประเทศประกอบไปด้วย
AccessMatrix Universal Authentication Server (UAS)
คือ ระบบยืนยันตัวตนที่ออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อกับการยืนยันตัวตนชนิดอื่นๆ ได้ง่าย อาทิ การยืนยันตัวตนแบบรหัสผ่านที่ใช้ได้ครั้งเดียว การยืนยันตัวตนแบบไบโอเมทริก เป็นต้น โดยที่รองรับการระบบการยืนยันตัวตนที่หลากหลายโดยใช้การทำงานลักษณะ Pluggable Authentication Module (PAM) โดยกมีลักษณะทำงานการเชื่อมต่อสำเร็จรูปไว้แล้ว เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับการยืนยันตัวตนแบบอื่นได้ง่าย สะดวก
AccessMatrix™ Universal Sign On:
โซลูชั่น Secure Enterprise Single Sign-On สำหรับพนักงานในองค์กร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการการรับรองตัวบุคคล และการบังคับใช้รหัสผ่านให้เป็นไปตามนโยบายขององค์กรทั้งยังช่วยลดความซับซ้อนในการเข้าใช้แอพพลิเคชั่น ด้วยการยืนยันตนเพียงครั้งเดียว ซึ่งใช้กระบวนการที่มีประสิทธิภาพ และได้รับรับรองว่ามีความปลอดภัยสูงสุด
AccessMatrix™ Universal Access Management (UAM):
ระบบ Single Sign-On (SSO) แบบมีเอเจนต์ อย่างครอบคลุม การจัดการการเข้าใช้งานเว็บ ระบบ Single Sign-On (SSO) แบบรวมศูนย์ การจัดการการอนุญาตจากภายนอก และระบบการบริหารจัดการ ระบบที่มอบอำนาจตามลำดับขั้น การต่อยอดเทคโนโลยี AccessMatrix™ จะช่วยให้ UAM มีระบบความปลอดภัยของแอปพลิเคชั่นที่เข้มงวดมากที่สุดด้วยการจัดเตรียม การดูแลระบบ การรับรองความถูกต้อง และบริการการตรวจสอบภายใน (4As) ที่ปลอดภัย ให้กับแอปพลิเคชั่นของธุรกิจภายในองค์กร UAM จะช่วยให้แอปพลิเคชั่นทางอินเทอร์เน็ต / แอปพลิเคชั่นขององค์กรที่กำหนดเองสามารถเข้าใช้งานบริการต่างๆ ของ IAM (Identity & Access Management) ไดร่วมกันและลดต้นทุนด้านการบูรณาการ ของระบบลง ซึ่งจัดทำขึ้นตามข้อกำาหนดทางกฎหมายและมาตรฐานของภาคธุรกิจ ธนาคารและการเงิน
AccessMatrix™ Universal Credential Manager (UCM):
คือ โซลูชันการจัดการบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ในการใช้งานในระดับต่างๆ (Next Gen Privileged Account Activity Management (PAAM)) โดยไม่ต้องใช้เอเจนต์ และ สามารถบันทึกภาพและใช้งานร่วมกับ Single Sign on (SSO) มีคุณสมบัติ ยืดหยุ่นและสะดวกในการจัดการสิทธิ์การใช้งาน รองรับการดูแลระบบและการกระจายสิทธิ์อำนาจ แบบหลายระดับชั้น สอดคล้องกับการกำหนดกฎเกณฑ์มีการแบ่งแยกหน้าที่ต่าง ๆ สำหรับ ผู้ดูแลระบบ ไม่ว่าจะเป็น ผู้สร้าง / ผู้ตรวจสอบ และจำกัดสิทธิ์ตามหน้าที่) การติดตั้งและจัดการระบบได้ง่าย การจัดการสิทธิ์ แบบแยกตกลุ่มในการใช้งานแตกต่างกันของผู้ดูแลระบบ การนำเข้าข้อมูลจากที่อื่นได้หลากหลาย สามารถใช้งานร่วมกับไดเร็กทอรีผู้ใช้เดิมที่มีอยู่