Specialty Coffeeตลาดเล็ก แต่ทรงพลัง

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยหันมาจิบกาแฟมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเรียนรู้ว่ากาแฟมีหลากหลายประเภท แตกต่างกันไปตามความนิยมของแต่ละคน

ทำให้ร้านกาแฟสไตล์ Specialty Coffee กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้คอกาแฟได้สัมผัสกับประสบการณ์ในการดื่มกาแฟแบบลุ่มลึกยิ่งขึ้น

แม้ว่าร้านกาแฟสไตล์ Specialty Coffee หรือร้านกาแฟที่มีเอกลักษณ์พิเศษแตกต่างจากร้านกาแฟเชนสโตร์ทั่วไป กำลังเป็นเทรนด์ใหม่มาแรงในปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ร้านกาแฟสไตล์ Specialty Coffee เป็นรูปแบบที่มีมานานแล้ว

ลักษณะของ Specialty Coffee นั้น จะเป็นร้านที่สร้างประสบการณ์การกินกาแฟ ตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์จากแหล่งปลูกต่าง ๆ ทั่วโลก มาสร้างความพิเศษมีเรื่องราวการคั่วเมล็ดกาแฟที่หลากหลาย รวมถึงวิธีชงและกินกาแฟแบบต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละแก้วให้ลูกค้าได้เลือก

ดังนั้น ที่ผ่านมาตลาดของ Specialty Coffee จึงมีขนาดเล็กและเป็นตลาดเฉพาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคอกาแฟตัวจริงที่ชื่นชอบเครื่องดื่มกาแฟเท่านั้น

แต่ด้วยเทรนด์การจิบกาแฟของผู้บริโภคยุคใหม่มีทิศทางเปลี่ยนไปในแบบพรีเมียมมากขึ้น และยังให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าราคา ทำให้ความนิยมของ Specialty Coffee จึงขยายวงกว้าง และดูเหมือนว่าแนวโน้มจะไปได้สวยทีเดียว

สะท้อนได้จากภาพรวมตลาดกาแฟค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 48 พันล้านเหรียฐสหรัฐ โดย 55% ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายให้กับกาแฟแบบ Special Coffee ส่วนในเมืองไทย แม้ปัจจุบันจะยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับตลาดเชนร้านกาแฟทั่วไป แต่ก็มาแรงจนยักษ์ใหญ่ในธุรกิจกาแฟต้องกระโจนเข้าสู่ตลาดนี้ทีเดียว

คาซา ลาแปง

เริ่มจาก “คาซา ลาแปง” ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่วางจุดขายตัวเองชัดเจนในการเป็น Specialty Coffee มาตั้งแต่ก่อตั้ง ซึ่งคอกาแฟตัวจริงที่มีความรู้เรื่องกาแฟเป็นอย่างดีจะรู้จักและนิยมเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันนอกจากฐานลูกค้าคนไทยแล้ว ยังมีคอกาแฟชาวต่างชาติอย่างเหนียวแน่นอีกด้วย

ในปัจจุบันคาซา ลาแปง มีทั้งหมด 7 สาขา และด้วยจุดยืนที่ชัดเจนประกอบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดกลุ่มนี้ ทำให้ “เจเอเอส แอสเซ็ท” ในเครือเจมาร์ท ได้เข้าไปซื้อกิจการของคาซา ลาแปง พร้อมจัดตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด เพื่อรุกตลาดนี้อย่างจริง พร้อมทั้งทำให้คาซา ลาแปง สามารถขยายตลาดในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

คาซา ลาแปง

โดยในปีนี้มีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขา พร้อมกับรุกขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย ๆ ปีละไม่ต่ำกว่า 10 สาขา และภายในปี 2020 จะมีการขยายสาขาออกไปยังเมืองใหญ่ ๆ ของโลกอย่าง โตเกียว โซล ไทเป และสิงคโปร์

แม้กระทั่งยักษ์กาแฟแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง “สตาร์บัคส์” เองก็ยังไม่ยอมปล่อยเทรนด์นี้ให้หลุดมือไป โดยปีที่ผ่านมาได้เปิดร้านกาแฟรูปแบบใหม่ในชื่อว่า “Starbucks Reserve Experience Store” ซึ่งจะเป็นร้านที่มีการนำเมล็ดพันธุ์กาแฟคุณภาพสูงหายากจาก 30 ประเทศทั่วโลก มาเสิร์ฟให้แก่ลูกค้า พร้อมมีเครื่องชงกาแฟหลากหลายและพนักงาน Coffee Master ที่นอกจากเป็นผู้ชงกาแฟแล้วนั้นยังให้ความรู้เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์กาแฟต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์คอกาแฟแบบ Slow Life มากขึ้น

ปัจจุบัน Starbucks Reserve Experience Store มีทั้งหมด 3 สาขาด้วยกันคือ Siam Discovery, Central East Ville และศูนย์การค้า เกสร

นอกจากนี้ ล่าสุด “เนสท์เล่” เจ้าของแบรนด์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์เนสกาแฟ ยังรุกคืบเข้าไปถือหุ้นใหญ่ 68% ในเชนร้านกาแฟและกาแฟคั่วบดภายใต้แบรนด์ “Blue Bottle Coffee” ด้วยมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17,000 ล้านบาท ซึ่งการรุกคืบครั้งจะเป็นทางลัดให้เนสท์เล่เข้าสู่ธุรกิจร้านกาแฟ และได้ Know How ของธุรกิจนี้มาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น

นับเป็นสีสันของตลาดกาแฟที่กำลังดุเดือดและเข้มข้น ซึ่งเกมนี้อยู่ที่ว่าใครจะสร้างประสบการณ์ดื่มกาแฟได้ลุ่มลึกกว่ากัน !!