เอกสารข่าวจากบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ในรูปแบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล์ส่งถึงหัวหน้าข่าวสำนักต่างๆ ใจความว่า “เชลล์ตกลงขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้เป็นธุรกิจหลัก เพื่อปรับโครงสร้างของบริษัทให้มีความกระชับและปรับตัวได้ง่ายขึ้น”
จะว่าไปแล้ว การขายสินทรัพย์ตามคำกล่าวอ้าง (ที่ไม่ได้เป็นธุรกิจหลัก) แลกกับเงินก้อนใหญ่ สะท้อนให้เห็นว่า ยอดขายที่ได้จากธุรกิจน้ำมัน แม้ต้องนำมาผ่านกระบวนการต่างๆ ให้ได้น้ำมันและส่วนประกอบต่างๆ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนอีกครั้งว่า
ถึงเวลาที่คนอาจลดการพึ่งพิงในที่สุด และนั่นก็คือ จุดจบของธุรกิจนี้
จะสังเกตเห็นว่า ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจน้ำมันหรือแม้แต่กลุ่มโอเปก ผู้นำของชาติขุดเจาะน้ำมันของโลก ยังหาทางออกในเรื่องของการขยับขึ้นราคาน้ำมันนี้ไม่ได้มาเป็นเวลานานพอสมควร
ก็มีคำถามว่า เวลาที่เหมาะสมกับราคาน้ำมันจะขยับขึ้น ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร
และสัญญาณของชาติตะวันตกและจีนในการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้มากขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า ยิ่งตอกย้ำว่า กลุ่มบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก ต้องทบทวนและเร่งหาทางออกสำหรับตนเองให้เร็วที่สุด
แน่นอน การกำเงินที่คิดเป็นมูลค่า 750 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ย่อมทำให้เชลล์ได้เงินเข้าบริษัทมหาศาล เพราะภาพจำลองทางธุรกิจเชลล์อาจประเมินว่า ราคาน้ำมันจะลงต่อไป
เพราะปริมาณการบริโภคน้ำมันถูกแบ่งโดยพลังงานทดแทนรูปแบบต่างๆ มากขึ้น
ถ้อยแถลงของเชลล์ ย้ำว่า การดำเนินการในครั้งนี้ ไม่มีผลกระทบใดๆ กับการลงทุนของเชลล์ในประเทศอื่นๆ
และยังคงสิทธิสัมปทานแปลงหมายเลข 7 แปลงหมายเลข 8 และแปลงหมายเลข 9 ของแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนของชายแดนไทยกัมพูชา
หมายความว่า แม้จะขายสินทรัพย์บางส่วนไป แต่เชลล์ก็ยังไม่ไปไหน