บริษัท มิลลิเมด จำกัด น้องใหม่สู่ยักษ์เวชภัณฑ์ยาของเมืองไทย

บริษัท มิลลิเมด จำกัด น้องใหม่สู่ยักษ์เวชภัณฑ์ยาของเมืองไทย

บริษัท มิลลิเมด จำกัด น้องใหม่สู่ยักษ์เวชภัณฑ์ยาของเมืองไทย

17 ปีที่แล้ว ชื่อของ “มิลลิเมด” เป็นเพียงบริษัทเวชภัณฑ์ยาสายพันธุ์ไทยน้องใหม่ที่เพิ่งแจ้งเกิดในตลาด แต่ด้วยวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจที่ต้องการผลิตยาคุณภาพในราคาที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้ ทำให้วันนี้ “มิลลิเมด” กลายเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยาชั้นแนวหน้าที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งล่าสุดยังคว้ารางวัล Thailand Top SME Awards 2017 ในกลุ่ม Fast Growing Business of the Year ไปครองได้สำเร็จ

ปัจจัยที่ทำให้ “มิลลิเนด” ประสบความสำเร็จจนผงาดขึ้นมาเป็น Top 5 ของตลาดเวชภัณฑ์ยาในเมืองไทย “ดร. ภก.ชาญณรงค์ เตชะอังกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลลิเมด จำกัด” อธิบายให้ฟังว่า เกิดจากปณิธานของบริษัทที่วางไว้ชัดเจน ที่ต้องการพัฒนา “คุณภาพยา คุณภาพชีวิต” เพราะตระหนักดีว่า “คุณภาพ” เป็นหัวใจขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ทั้งยา อาหารเสริม และสมุนไพรให้มีประสิทธิภาพ เมื่อคุณภาพผลิตภัณฑ์ดี ผู้บริโภคย่อมมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามไปด้วย ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา มิลลิเมดจึงมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานระดับสากลต่อเนื่อง

บริษัท มิลลิเมด จำกัด น้องใหม่สู่ยักษ์เวชภัณฑ์ยาของเมืองไทย
ดร.ภก.ชาญณรงค์ เตชะอังกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลลิเมดจำกัด

แนวทางการผลิตยาใหม่ที่เพิ่งหมดสิทธิบัตร เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้มิลลิเมดประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากงบลงทุนจะไม่มากเมื่อเทียบกับยาที่อยู่ในช่วงจดสิทธิบัตรแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยเข้าถึงยาได้เร็วขึ้นแทนการซื้อจากต่างประเทศ รวมถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการก้าวขึ้นสู่ผู้นำด้านเวชภัณฑ์ยาของเมืองไทยให้ได้ภายในปี 2025

“2 ปีที่แล้ว ถ้าผู้บริโภคต้องกินยาลดไขมันตามต้นแบบจากต่างประเทศ ต้องจ่ายเงินประมาณ 3,000-4,000 บาท แต่เมื่อมารับประทานยาของมิลลิเมด จะจ่ายแค่เดือนละ 200 บาท ผู้บริโภคจึงเข้าถึงยาที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม รวมทั้งทำให้ประเทศชาติประหยัดงบในการนำเข้ายาจากต่างประเทศมากขึ้น”

แม้ปัจจุบัน “มิลลิเมด” จะมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ ดร. ภก.ชาญณรงค์ ย้ำว่า บริษัทไม่สามารถหยุดนิ่งในการพัฒนาตัวเองได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก โดยผู้บริโภครุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากกว่าการรักษา อีกทั้งประชากรสูงวัยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เมื่อผนวกกับเป้าหมายของมิลลิเมดที่มุ่งหวังจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำเวชภัณฑ์ยาในเมืองไทยให้ได้ในอีก 8 ปีข้างหน้า !! ทิศทางการดำเนินธุรกิจของ “มิลลิเมด” ต่อจากนี้ จึงต้องปรับกระบวนยุทธ์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม

กลยุทธ์เชิงรุกประการแรกที่จะได้เห็นต่อจากนี้คือ การรุกขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการเดินหน้าสร้างแบรนด์ในกลุ่มลูกค้าร้านขายยาทั่วไป รวมถึงกับเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งในกลุ่มแอนตี้เอจจิ้ง กลุ่มไอโอเทคโนโลยี และมัลติวิตามิน รวมถึงสมุนไพรเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัยและคนยุคดิจิทัลที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้นด้วย

พร้อม ๆ กับการขยายช่องทางใหม่ในการเข้าถึงลูกค้าด้วยการนำ Social Media เข้าเสริมทัพธุรกิจและขยายฐานสู่ต่างประเทศ จากปัจจุบันมีการส่งออกยาแผนปัจจุบันเข้าไปทำตลาดกว่า 17 ประเทศแล้ว

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของมิลลิเมดจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ยาแผนปัจจุบัน 80% ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 15% และสมุนไพร 5% เมื่อมีการรุกขยายฐานธุรกิจจะทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของกลุ่มยาแผนปัจจุบันจะอยู่ที่ 50% ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 30% และสมุนไพร 20%

“ปัจจุบันเราร่วมกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่มีเทคโนโลยีและนักวิจัย เพื่อนำงานวิจัยไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ เพราะโลกการดำเนินธุรกิจวันนี้จะคิดคนเดียวไม่ได้ ต้องทำงานเป็นทีมและสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ผลิตภัณฑ์จำหน่ายได้ราคาสูงขึ้น ขณะที่ประเทศชาติก็สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ ตาม THAILAND 4.0”

ดร.ภก.ชาญณรงค์ บอกถึงวีถีธุรกิจยุคใหม่ และย้ำท้ายถึงความท้าทายในอนาคตว่า มิลลิเมดจำเป็นต้องรุกขยายฐานสู่ต่างประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเสริมกระบวนการผลิต เพื่อให้มิลลิเนดสามารถพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดและคงการเติบโตเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดต่อไป