Lalamove – Kerry Express โอกาสบนโลกออนไลน์

ความสำเร็จของLalamove และ Kerry Express ผู้ให้บริการส่งด่วนจากฮ่องกงที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเปิดสาขาในไทย ถือเป็นเพียงก้าวหนึ่งของบริษัทที่กำลังมองหาโอกาสและเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือ ขยายสาขาครอบคลุมอาเซียน ตลาดการค้าและการขนส่งที่มีประชากรราว 600 ล้านคน เป็นน่านน้ำให้ตักตวง

เมื่อโลกธุรกิจขนส่งแบบเร่งด่วนโตตามกระแสคนเมือง ย่อมสร้างเส้นทางเชื่อมโยงการค้าได้เป็นกอบเป็นกำ แน่นอนว่าข้อดีของโลกขนส่งยุคดิจิทัลก่อให้เกิดมูลค่าของบริษัทผู้ประกอบการหน้าใหม่และคู่แข่งมากมาย

ผู้ประกอบการจากฮ่องกงหน้าใหม่ ลาลามูฟ (Lalamove) ได้รับเงินลงทุนรอบใหม่เพิ่มเติมรวม 10 ล้านเหรียญสหรัฐ จากบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และผู้ลงทุนเก่ารายอื่น ๆ ได้แก่ MindWorks จากฮ่องกง Crystal Stream จากประเทศจีน AppWorks จากประเทศไต้หวัน และ Aria Group จากฮ่องกง ซึ่งการระดมทุนรอบนี้ทำให้ลาลามูฟมียอดการระดมทุนรวมถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐไปแล้ว

ลาลามูฟ คือ ดาวรุ่งในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีการขนส่งอย่างรวดเร็ว พลิกโฉมวงการขนส่งด้วยนวัตกรรม เช่น การเชื่อมโยงบริการกับผู้ใช้อย่างรวดเร็ว การใช้ระบบนำทาง GPS เพื่อติดตามการส่งสินค้า ระบบให้คะแนนคนขับและการบริการออนไลน์ และตัวเลือกการจ่ายเงินแบบไม่ต้องใช้เงินสด

ธุรกิจของลาลามูฟเริ่มต้นจากการเป็นแพลตฟอร์มบนมือถือที่เชื่อมโยงลูกค้าที่ต้องการบริการขนส่งกับบริษัทขนส่งต่าง ๆ และด้วยการบริการที่ยอดเยี่ยมและคุ้มค่า ทำให้ธุรกิจของลาลามูฟได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบัน ลาลามูฟคือผู้ให้บริการขนส่งรายใหญ่ในเอเชีย ทำหน้าที่เชื่องโยงลูกค้ากับผู้ประกอบอาชีพขับรถขนส่ง ทั้งรถมอเตอร์ไซค์ รถตู้ รถกระบะ และรถบรรทุก โดยมีนกฮัมมิ่งเบิร์ดเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท

ส่วน เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (Kerry Express) ผู้ประกอบการจากฮ่องกง เริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2545 ด้วยบริการด้านการจัดการซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ จัดการการส่งออกให้แก่สินค้าไทยเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และอื่น ๆ อีกมากมาย สู่ปลายทางทั่วโลก

สำหรับการจัดส่งภายในประเทศ บริษัทได้รับความนิยมอย่างสูงจากการการันตีการให้บริการจัดส่งแบบภายในวันถัดไป ไม่ว่าจุดหมายนั้นจะเป็นจุดหมายใดในประเทศ

ปัจจุบันธุรกิจของเคอรี่ขยายธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ แล้วกว่า 6 ทวีป ส่งมอบบริการอย่างผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการซัพพลายเชนและโลจิสติกส์แก่บริษัทชั้นนำทั่วโลก

“อเล็กซ์ อึ้ง” กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า ภาพรวมของบริษัทมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ จากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปทำการซื้อขายสินค้าบนโลกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งต้องมีการรับส่งสินค้า จึงทำให้ธุรกิจขนส่งสินค้าด่วนพลอยได้รับอานิสงส์เติบโตตามไปด้วย

“เรามองว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า ธุรกิจขนส่งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน กลุ่มแรกคือ ธุรกิจให้บริการคลังสินค้าจะมีการเติบโตคงที่ เพราะเทรนด์การสั่งของออนไลน์ หรือ Social Commerce มีการเติบโตสูงขึ้น ทำให้การสต็อกสินค้าน้อยลง ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ การส่งสินค้าแบบกล่องและส่งด่วน จะได้รับการตอบรับจากตลาดที่สูงขึ้น”

สอดคล้องกับ “ณัฐธีร์ ตั้งรัชตะอารีย์” ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ลาลามูฟ ประเทศไทย จำกัด ที่มองว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดขนส่งด่วนอาจจะยังไม่ชัดเจนมากนัก เพราะการเก็บข้อมูลถูกเก็บรวมกันในธุรกิจขนส่งทุกรูปแบบ

แต่จากข้อมูลของ ETDA คาดการณ์ว่าธุรกิจ E-Logistic ไทยในสิ้นปีนี้จะเติบโตประมาณ 10% ขณะที่ตลาด E-Commerce ประเภทค้าปลีกและค้าส่ง คาดการณ์ว่าจะโตขึ้นประมาณ 40% ทีเดียว โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดขนส่งด่วนมีการเติบโตอย่างรวดเร็วนั้นมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ต้องการสินค้าและบริการที่รวดเร็วขึ้นอย่างมาก

“Lalamove”   Startup สัญชาติฮ่องกงที่เติบโตเร็วที่สุด

Lalamove

การเติบโตของแบรนด์ลาลามูฟในวันนี้ถือว่ามาแรงเกินคาด แม้จะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาชิมลางตลาด E-Logistic หรือบริการจัดส่งสินค้าด่วนในเมืองไทยได้เพียง 2 ปี แต่กลับสามารถแจ้งเกิดแบรนด์จนเป็นที่รู้จักได้อย่างโดดเด่น มิหนำซ้ำยังพุ่งทะยานการเติบโตอย่างรวดเร็ว จากยอดผู้ใช้บริการเพียง 4,000-5,000 รายต่อเดือนกลายเป็น 10,000 รายต่อเดือนในปัจจุบัน

สำหรับเส้นทางธุรกิจของลาลามูฟนั้น เริ่มต้นขึ้นจากการมองเห็นช่องว่างของธุรกิจสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่กำลังฮิตติดลมบนของ “ชิง ยุค เชา” (Shing-Yuk Chow) ผู้ก่อตั้งลาลามูฟ ซึ่งเป็น Professional Broker ชาวฮ่องกง

แต่เนื่องจากผู้ให้บริการส่วนใหญ่ในขณะนั้นจะใช้เวลาอย่างเร็วสุดในการส่งสินค้าถึงมือลูกค้าประมาณ 1 วัน สำหรับคุณชิงมองว่ายังเร็วไม่พอ และคิดต่อด้วยว่าทำไมถึงไม่มีธุรกิจจัดส่งสินค้าที่สามารถให้บริการส่งของภายในไม่กี่ชั่วโมง เพราะเขามองว่าด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถทำได้

จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณชิงตัดสินใจแจ้งเกิดธุรกิจด้านการจัดส่งสินค้าขึ้นในปี 2556 ที่ประเทศฮ่องกง ภายใต้ชื่อ “EasyVan” โดยเริ่มจากการเป็นบริษัทจัดหารถตู้เพื่อทำการขนย้ายสินค้า พร้อม ๆ กับการพัฒนาแอพพลิเคชันขนส่งในการให้บริการขึ้น เพื่อช่วยให้การรับส่งสินค้าทำได้อย่างรวดเร็วขึ้นภายในเวลา 45 นาที และจัดส่งของถึงมือปลายทางภายใน 3 ชั่วโมง

ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน EasyVan ในฮ่องกงมีฐานลูกค้าผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 100,000 คน บริษัทจึงเริ่มขยายบริการครอบคลุมธุรกิจขนส่งมากขึ้นทั้งรถมอเตอร์ไซค์ รถกระบะ และรถบรรทุก อีกทั้งยังเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น “ลาลามูฟ” (Lalamove) พร้อมกับเดินหน้ารุกตลาดไปในประเทศต่าง ๆ กระทั่ง 1 ปีถัดมาสามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วโดยครอบคลุม 5 เมืองใน 5 ประเทศคือ ไทเป กรุงเทพฯ กวางเจา เซินเจิ้น และสิงคโปร์ และในปี 2559 สามารถขยายสาขาเพิ่มเป็น 28 เมืองทั่วโลก

สำหรับในประเทศไทยนั้น “ณัฐธีร์ ตั้งรัชตะอารีย์” ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ลาลามูฟ ประเทศไทย จำกัด บอกว่า ลาลามูฟได้เริ่มสยายปีกเข้ามาทำตลาดในปี 2557 จากนั้นเพียง 6 เดือน ลาลามูฟสามารถสร้างการเติบโตโดยมีมูลค่าการใช้บริการอยู่ที่ 4 ล้านบาท และในปัจจุบันมีการเติบโตอย่างรวดเร็วมากแค่ครึ่งปีแรกของปีมีมูลค่าการใช้บริการแตะ 40 ล้านบาทแล้ว

แน่นอนว่า การคิดต่างด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชันขนส่งซึ่งยังไม่มีใครทำในลักษณะนี้มาก่อน ย่อมเป็น Key Drive ที่ทำให้แบรนด์น้องใหม่อย่างลาลามูฟประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในตลาด ทว่าณัฐธีร์กลับมองต่าง เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีและแอพพลิเคชันขนส่งนั้นไม่ได้มีความต่างกันมากนัก ดังนั้น หัวใจสำคัญที่ทำให้ลาลามูฟแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นและเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดนั้น มาจากการใส่ใจในคุณภาพการให้บริการที่ดี ผนวกกับการมุ่งให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของผู้บริโภค

“พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยไม่ได้ต้องการแค่การขนส่งที่รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมองไปถึงเรื่องบริการที่ดีด้วย โดยลูกค้าอยากรู้ว่าสินค้าอยู่ที่ไหนและสภาพของเป็นอย่างไร”

ณัฐธีร์ย้ำถึงความต้องการผู้บริโภคชาวไทย และทำให้นับตั้งแต่วันแรกที่ลาลามูฟขยายฐานเข้ามาบุกตลาดในไทย จึงได้นำวิสัยทัศน์ผนวกกับเทคโนโลยีและใส่ความเป็นไทยเข้าไปอย่างเต็มที่ โดยความเป็นไทยในที่นี้ เขาบอกว่าหมายถึงการมุ่งมั่นในคุณภาพการบริการตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยเริ่มจากการอบรมพนักงานขับรถอาทิตย์ละ 3 วัน ทั้งมารยาทการพูด การทักทายกับลูกค้าและคนในองค์กร รวมถึงการให้บริการ พร้อมทั้งมี Customer Service จำนวนกว่า 20 รายในการให้บริการตั้งแต่ 6.00-24.00 น.

ผลก็คือ ไม่เพียงแต่จะทำให้แบรนด์น้องใหม่อย่างลาลามูฟสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและพนักงานในองค์กร ทว่ายังสร้างความต่างจากคู่แข่งในตลาดอย่างชัดเจน จนกลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมและมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว

“Kerry Express” แจ้งเกิดด้วยโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง

 Kerry Express

“เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” (Kerry Express) เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด่วนที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยมายาวนาน โดยบริการของที่นี่จะแตกต่างไปจากแบรนด์อื่นด้วยคอนเซ็ปต์การจัดส่งสินค้าภายในวันถัดไป (Next Day) พร้อมครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่กว่า 99.9% ในประเทศไทย และยังสามารถเรียกเก็บเงินปลายทาง (COD) ได้อย่างสะดวกอีกด้วย จึงทำให้แบรนด์เคอรี่ เอ็กซ์เพรสได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค และมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนปัจจุบันจัดได้ว่าเป็นผู้นำในการจัดส่งสินค้าด่วนลำดับต้น ๆ ของเมืองไทย

สำหรับเส้นทางธุรกิจของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2549 โดยเป็นบริษัทในเครือของ เคอรี่ โลจิสติกส์ เน็ทเวิร์ค (Kerry Logistics Network Limited-KLN) ซึ่งมีเครือข่ายมาจากประเทศฮ่องกง นอกจากนี้บริษัทยังมีกลุ่มสมาชิกในเครือเคอรี่อีกมากมาย อาทิ โรงแรมแชงกรีล่า (Shangri-La Hotel), วิลมาร์ (Wilmar) และเคอรี่ พร็อพเพอร์ตี้ (Kerry Properties) เป็นต้น

ส่วนในประเทศไทย ชื่อของเคอรี่ได้สยายปีกเข้ามาทำตลาดเมื่อปี พ.ศ. 2543 โดยเริ่มจากการให้บริการท่าเทียบเรือที่แหลมฉบังในชื่อท่าเรือสยามซีพอร์ต และต่อมาได้ขยายกิจการสู่การให้บริการทั้งการกระจายสินค้า ไอซีดี และคลังสินค้า รวมถึงการจัดส่งสินค้าแบบรวดเร็ว หรือ Express Service ภายใต้ชื่อ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด ในปี พ.ศ. 2553

สำหรับโมเดลการให้บริการของเคอรี่ เอ็กซ์เพรสนั้น “อเล็กซ์ อึ้ง” กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายว่า จะแตกต่างจากลาลามูฟสิ้นเชิง โดยเคอรี่ เอ็กซ์เพรสวางตัวเองเป็น Drop Point ในการรับสินค้าตามจุดต่าง ๆ ก่อนจะกระจายไปถึงมือลูกค้าปลายทางในวันถัดไป โดยลูกค้าสามารถนำสินค้าไปส่งยังสาขาที่ใกล้ที่สุด ซึ่งมีให้เลือกทั้งร้านพาร์เซลชอป (Parcel Shop) และจุดให้บริการบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมถึงให้บริการผ่านทางตู้ล็อกเกอร์ตามอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียม

จากกระแสการตอบรับที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ในปี พ.ศ. 2558 “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” จึงได้ขยายการให้บริการรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นภายในกรุงเทพฯ โดยเน้นจัดส่งเอกสารและพัสดุขนาดเล็กภายในวันเดียวในชื่อ “Bangkok Sameday” คือหลังจากลูกค้าได้ทำการจองรถเข้ารับพัสดุผ่านแอพพลิเคชัน เจ้าหน้าที่จะเข้ารับพัสดุภายใน 2 ชั่วโมงและทำการจัดส่งถึงปลายทางในวันเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งตั้งแต่รับสินค้าไปจนถึงมือลูกค้าปลายทางผ่านทางแอพพลิเคชันหรือคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

ปัจจุบัน เคอรี่ เอ็กซ์เพรสมีร้านพาร์เซลชอปกว่า 500 แห่งทั่วกรุงเทพฯ และจุดให้บริการบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสกว่า 8 สถานี ขณะที่การเติบโตของเคอรี่ เอ็กซ์เพรสในปีที่ผ่านมานั้นมีการเติบโตถึง 100% และปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 200% เนื่องจากตลอด 9 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักทุกเดือน พร้อมมั่นใจด้วยว่าปีหน้าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% เช่นกัน

“ที่เรามั่นใจเพราะว่าตลาด E-Logistic ไทยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากตามการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการในการจัดส่งสินค้าด่วนเพิ่มสูงขึ้น โดยปีที่ผ่านมาเราสามารถจัดส่งสินค้าได้ประมาณ 50,000 ชิ้น ขณะที่ปีนี้สามารถจัดส่งสินค้าได้กว่า 200,000 ชิ้นทีเดียว”

อเล็กซ์ย้ำถึงความมั่นใจในการเติบโต พร้อมบอกให้ฟังถึง Key Strategy ที่สร้างการเติบโตให้กับ “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุของเมืองไทยในวันนี้ว่า หัวใจสำคัญประการแรกยังมาจาก “บุคลากร” และประการที่ 2 คือ “ระบบ” ซึ่งทั้งสองส่วนถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้

“เราวางตัวเองเป็น Human Business เพราะเราเชื่อในคนว่าเป็นผู้ขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างและส่งมอบบริการที่ดีที่สุดไปถึงลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขายที่ทำหน้าที่ส่งของให้ลูกค้า หน้าร้านสำหรับต้อนรับลูกค้า และเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ ทุกอย่างล้วนใช้คนทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญและลงทุนกับการพัฒนาบุคลากรในองค์กรอย่างมาก ทั้งการอบรม การให้ค่าตอบแทน และมุ่งให้พนักงานมีความสุขกับการทำงานตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าเมื่อพนักงานมีความสุขในการทำงาน พวกเขาจะส่งต่อบริการที่ดีไปยังลูกค้า”