J Trend Comeback รอบนี้ขอปังกว่าเดิม

“Japan Quality” เป็นคำที่แสดงถึงชื่อและชั้นของผลิตภัณฑ์ที่สามารถการันตีคุณภาพที่ดีได้เป็นอย่างดีในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ของสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่น ซึ่งคำที่คุ้นหูนี้เองทำให้ผู้บริโภคที่คุ้นเคยยังคงฝังใจ และเลือกที่จะใช้เพียงเพราะมีคำนี้การันตี

วันเวลาเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเปลี่ยนไป แม้ญี่ปุ่นจะยังคงคุณภาพและมาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง แต่คู่แข่งมากหน้าหลายตาเริ่มเข้ามาท้าทายตลาด โดยเฉพาะแบรนด์จีน ที่นับวันจะใช้เงินทุนที่ค่อนข้างหนา ดาหน้าเข้ามาเขย่าบัลลังก์แบรนด์ญี่ปุ่นในหลายผลิตภัณฑ์ และในบางสินค้าก็เริ่มมียอดขายที่หายใจรดต้นคอขึ้นมาทุกที จากเมื่อก่อนหน้านี้ที่สินค้าญี่ปุ่นเองก็ต้องถูกท้าทายจากแบรนด์สัญชาติเกาหลีมาแล้วระยะหนึ่ง

แบรนด์จีนมาพร้อมกับสินค้าที่มีคุณลักษณะใกล้เคียงกับแบรนด์ญี่ปุ่น ต่างกันที่ดีไซน์ และบางครั้งก็อาจจะมีฟีเจอร์และฟังก์ชันที่มากกว่าเพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้า แม้ว่าการใช้งานจริงในช่วงแรก ๆ ของตัวสินค้าเองอาจจะยังไม่ค่อยทนทานนานนัก แต่ด้วยราคาที่เรียกได้ว่าถูกกว่าเกือบครึ่ง และสามารถใช้ประโยชน์ได้ไม่แตกต่างกัน ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มกล้าที่จะตัดสินใจซื้อ

ขั้นตอนต่อมาของการรุกตลาดจีน นอกจากการใช้ราคาแล้ว การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็กลายเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จีนใช้ในการผลักดันผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด และที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดดไปกว่านั้นคือ แบรนด์จีนได้ทำการเทคโอเวอร์กิจการของแบรนด์ชื่อดังต่าง ๆ หลาย ๆ แบรนด์มาเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะใช้ชื่อเสียงของแบรนด์ที่ติดตลาดไปแล้วเป็นตัวกรุยทางให้สามารถขายสินค้าได้ง่ายขึ้น

ในการซื้อกิจการดังกล่าวนั้น หลายครั้งที่จีนได้เอาชื่อของบริษัทตัวเองเข้าไปควบรวม และกลายเป็นชื่อใหม่ แต่ก็มีอีกหลายแบรนด์เช่นกันที่จีนยังคงชื่อเดิมไว้ เพียงแต่กระบวนการบริหารและไส้ในนั้นกลับกลายเป็นคนจีนล้วน ๆ

จนถึงวันนี้ที่แบรนด์จีนได้เข้ามารุกตลาดและมีอิทธิพลค่อนข้างมากในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทำให้แบรนด์ญี่ปุ่นเองก็ต้องเริ่มปรับตัวเพื่อที่จะรับมือกับการแข่งขันไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การใช้ราคา แต่ยังคงความเป็น “Japan Quality” หรือแม้แต่การอัพเกรดตัวเองขึ้นไปอีกระดับ ก้าวไปสู่ความเป็นพรีเมียมแบรนด์อย่างเต็มตัว เพื่อทำให้การหนีการแข่งขันกับจีนและเกาหลีมีความแตกต่างมากขึ้น และการกลับมาของความเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นครั้งนี้ก็ไม่ธรรมดา