anello ผนึกกำลังกับ Minor ขยายตลาดในประเทศไทย

หลังจากเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าจับตามองอย่างมากสำหรับ Carrot Company ผู้จำหน่ายกระเป๋าแบรนด์ anello กำลังวางแผนทางเดินสำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำหรับแบรนด์แบรนด์นี้คือ แผนการออกไปขยายสาขาในต่างประเทศ พร้อม ๆ กับการออกผลิตภัณฑ์เสริมที่ไม่ได้มีแค่กระเป๋าเพียงอย่างเดียว

กระเป๋า anello         anello anello  anello anello
แผนรุกตลาดของ อเนลโล (anello) ซึ่งเป็นกระเป๋ารุ่นขายดีที่สุดในพอร์ตของเครือ Carrot Company จากนี้จะค่อย ๆ มีสินค้าประเภทอื่น อาทิ รุ่นล้อลาก รวมถึงประเภทอื่น ๆ ที่จะออกตามมาเป็นพรวน หรือแม้แต่รูปแบบความร่วมมือระหว่างพันธมิตรรายใหม่ ๆ ที่ผู้บริหาร Carrot Company ตั้งใจจะส่งออกให้เป็น Business Model ใหม่สำหรับ Carrot Company

นั่นคือรูปแบบการขาย Retail ซึ่งต่างจากการขายในญี่ปุ่น คือ Wholesale ซึ่งเป็นเวลาที่พอเหมาะพอดีสำหรับ Carrot Company อย่างมาก หลังสินค้าในเครือทั้ง 3 แบรนด์ต่างตอบแทนผู้ก่อตั้งได้อย่างงดงาม นั่นคือรายได้ก้อนมหาศาล และจากนี้เชื่อว่ารายได้ดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 20,000 ล้านเยน (6,200 ล้านบาท) ภายในช่วง 3-5 ปีจากนี้

anello คือแบรนด์หนึ่งในพอร์ตสินค้าของบริษัท Carrot Company ประเทศญี่ปุ่น ที่เดิมเป็นเพียงผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายกระเป๋ารายเล็กในรูปแบบของการขายส่ง โดยมีแบรนด์ในมือ 3 แบรนด์ได้แก่ Legato Largo, anello และ Paquet du Cadeau

แน่นอนว่าแบรนด์ที่สร้างชื่อและส่งให้ Carrot Company สามารถก้าวขึ้นมายืนในเวทีระดับโลกในฐานะแบรนด์แฟชั่นได้อย่างสวยงามคือ อเนลโล ทั้งที่อายุของแบรนด์นี้มีเพียง 11 ปี

anello ทำยอดขายราว 9,000 ล้านเยนจากทั่วโลกในงบประมาณปีที่ผ่านมา ขณะที่รายได้ของ Carrot Company (สินค้า 3 แบรนด์) ทั้งหมดอยู่ที่ 12,500 ล้านเยน (ราว 3,835 ล้านบาท) เห็นได้ชัดว่า anello คือ สินค้าขายดีที่สุด (Best Seller)

โดยในปี 2016 anello กลายเป็นกระเป๋าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่น มียอดขายมากถึง 2.8 ล้านใบ กวาดรายได้ 8.8 ล้านเยนในเดือนมิถุนายนปี 2016 (มากกว่าปีก่อนหน้า 2 เท่า) ซึ่งเป็นอะไรที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอุตสาหกรรมแฟชั่นของญี่ปุ่น

คำว่า anello มาจากภาษาอิตาเลียน แปลว่า วงปีแห่งต้นไม้ มีความหมายว่า การพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด คล้าย ๆ กับการประกาศว่า anello คือแบรนด์ที่จะเติบโตต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง

จุดเริ่มต้นของการเดินทางของ anello เกิดขึ้นในปี 2005 เมื่อ Carrot Company ต้องการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อจับกลุ่ม Casual ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในกลุ่มวัยรุ่นญี่ปุ่นในขณะนั้น ซึ่งก็ต้องบอกว่า Carrot Company มาถูกทาง เพราะด้วยสไตล์ที่ใช่ในราคาที่วัยรุ่นเข้าถึงได้ ทำให้ anello เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวญี่ปุ่นขึ้นมาในทันที แถมยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่มักหาซื้อไปเป็นของฝากจำนวนมาก จนกลายเป็นกระแสนิยมไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว

anello

ดีเอ็นเอของ anello

หากมองย้อนกลับไปมองเบื้องหลังความสำเร็จของ anello ที่เปรียบเสมือนพระเอกของ Carrot Company นั้นไม่ใช่การตลาดที่หนักหน่วง แต่คือการสร้าง DNA ของตัวได้สำเร็จ

anello ถูกวางตำแหน่งสินค้าเพื่อเจาะตลาด Casual ดังนั้นสินค้าจึงถูกออกแบบขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ที่เรียบง่ายด้วยสไตล์มินิมอล สีพื้น ๆ แต่ดูชิค ไม่เฉพาะเจาะจง ทั้งเพศ วัย และการใช้งาน ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายและสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะจุดเด่นตรงตั้งแต่ปากกระเป๋าเสริมโครงเหล็กที่สามารถเปิดได้กว้างเป็นพิเศษ แต่มีน้ำหนักเบา ผลิตจากผ้าอย่างดีที่กันได้ทั้งน้ำและฝน ประกอบกับมีให้เลือกหลากหลายรุ่น หลากสีสัน หลายขนาด สามารถแมตช์เข้ากับไลฟ์สไตล์การแต่งตัวได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และที่สำคัญ ราคาที่วัยรุ่นเข้าถึงได้ (3,200-6,500 เยน)

จุดนี้เองที่ทำให้ anello กลายเป็นแบรนด์ที่ฮิตติดลมบนในหมู่วัยรุ่นนักศึกษาและเหล่าฮิปเตอร์จนโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น

และยิ่งเป็นการตอกย้ำความนิยมในแบรนด์ anello ขึ้นไปอีก เมื่อกระเป๋ารุ่นใหม่ Mouthpiece ที่มีดีไซน์โดดเด่น แปลกใหม่ มีสีสันมากกว่าเดิม ถูกนำมาวางจำหน่ายเมื่อ 5 ปีก่อน ส่งให้แบรนด์ anello เป็นที่พูดถึงและรู้จักอย่างกว้างขวาง และยังฮิตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจุบัน

ดังนั้นเมื่อดูถึงแผนการตลาดในการแตกไลน์สินค้ารุ่นใหม่ ๆ ออกมาไม่น้อยกว่าปีละ 200 แบบ (800 แบบในปัจุบัน) ครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ ๆ ทั้งกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าสะพายสำหรับสุภาพสตรี แต่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือสะดวกใช้งานในทุกกลุ่ม ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ดีว่า anello เดินทางมาไกลกว่าสินค้าที่จำกัดตัวเองว่า Fast Fasion ที่ไม่ใช่เป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่ยังอยู่ในกระแสได้อย่างต่อเนื่อง

จากความสำเร็จของ anello ทำให้ Carrot Company หันมาให้ความสนใจกับการเปิดชอปเป็นของตัวเองแทนการขายส่งเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และที่สำคัญ เพื่อป้องกันสินค้าลอกเลียนแบบ เพราะสินค้ายิ่งดัง สิ่งที่ตามมาคือ การ Copy แบรนด์ที่ anello ต้องเผชิญไม่ต่างจากแบรนด์ชื่อดังแบรนด์อื่น ๆ โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั้งโตเกียวและโอซาก้า

และไม่เพียงแค่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการขยายตลาดไปยัง15 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย anello ได้เปิดตลาดอย่างเป็นทางการไปแล้ว 7 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ล่าสุดคือ ไทย

 anello และ Minor

anello ในมือ Minor

พูดถึงความนิยมของ anello ในเมืองไทย แน่นอนว่าคำว่าแบรนด์ญี่ปุ่นหรืออะไรที่มาจากญี่ปุ่น คนไทยมักจะให้ความสนใจเป็นอันดับต้น ๆ โดยในระยะแรก ๆ คนไทยมีโอกาสได้สัมผัส anello จากการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น การฝากเพื่อนหรือคนรู้จักซื้อ หรือแม้แต่การ Pre Order จากรายย่อยที่แรกเริ่มมีเพียง 5 ราย เพราะไม่มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

จุดนี้เองนับว่าเป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้มีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ออกมาวางจำหน่ายเป็นจำนวนมาก กระทั่ง บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ anello นำมาสู่การเจรจาสิทธิ์ในการนำเข้าประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และหลังจากเปิดดีลอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ไมเนอร์ก็เดินหน้าเปิดตลาดในประเทศไทยเต็มรูปแบบ โดยในปัจุบันมีการเปิดสาขาไปแล้วกว่า 39 จุด

และคงไม่มีอะไรการันตีความฮิตของ anello ในประเทศไทยได้ดีไปกว่ายอดขาย 300-350 ล้านบาท ติดอันดับ 1 จากตัวแทน Distributor ทั่วโลก ด้วยระยะเวลาเพียง 5 เดือน สามารถทำรายได้เทียบเท่ายอดขายในฮ่องกงที่ทำตลาดมาแล้วกว่า 5 ปี ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 รองจากญี่ปุ่นในทันที

ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงไม่แปลกใจเลยที่ ทาเคชิ โยชิดะ ประธานกรรมการจาก Carrot Company เจ้าของลิขสิทธิ์แบรนด์ดังประเทศญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับตลาดประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษ และค่อนข้างให้อิสระในการทำตลาดในเมืองไทยกับไมเนอร์ โดยเฉพาะสิทธิ์การออกสินค้ารุ่นโลคอลเฉพาะประเทศไทย โดยร่วมมือกับ Influencer ในการออกสินค้าให้ร่วมกันเป็นลิมิเต็ด เอดิชัน หรือขายออนไลน์ สิทธิ์การวางจำหน่ายสินค้าลิมิเต็ด เอดิชัน และสิทธิ์ในการวางจำหน่ายสินค้าเป็นประเทศแรกในบางรุ่น

anello

เดินเครื่องขยายสาขา กลยุทธิ์สร้างแบรนด์ของ anello

นันทวรรณ สุวรรณเดช ผู้จัดการทั่วไปแบรนด์อเนลโล่ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงทิศทางของ anello ในประเทศไทยว่า ในช่วงแรก ไมเนอร์กำลังเร่งเปิดสาขา (Store Expansion) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development) ซึ่งปัจจุบันเปิดสาขาไปแล้วกว่า 39 จุด โดยตั้งเป้า 53 จุดภายในปี 2560 และอาจมากถึง 70 จุดทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ในส่วนของการขยายสาขาดังกล่าว ไมเนอร์ได้วางโมเดลไว้ 6 โมเดล คือ 1. Free Standing หรือ Stand Alone 2. Corner ในห้างสรรพสินค้า 3. Pop Up ที่เป็นลักษณะ Open Space 4. Airport Model 5. Hotel Kiosk ร้านค้าขนาดเล็กที่ตั้งไว้ในจุดที่ลูกค้ามักเดินผ่าน และ 6. กลุ่มที่เป็น Tourist Shop Mix แบบผสมผสานเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและเพิ่มช่องทางการซื้อให้กับลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวที่อาจจะยังไม่ได้ตั้งใจซื้อ โดยเฉพาะทำเลห้างสรรพสินค้าโซนชอปปิง สนามบิน และจุดที่มีทราฟฟิกสูง ๆ

โดยไมเนอร์ได้ทุ่มงบลงทุนในการขยายสาขารวม 20 ล้านบาท โดยเฉลี่ยแต่ละสาขาจะมีพื้นที่ประมาณ 80 ตารางเมตร โดยสาขาแฟล็กชิปที่ทำยอดขายดีที่สุดคือ สนามบินดอนเมืองและเมกาบางนา

ในส่วนของยอดขายในปี 2560 นี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 300-350 ล้านบาท และ 800-1,000 ล้านบาทใน 5 ปี หรือเติบโต 185% ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมียอดขายเป็นอันดับที่ 1 จากตัวแทน Distributor ทั่วโลก โดยกลุ่มลูกค้าของ anello มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงอายุตั้งแต่ 25-50 ปี รองลงมาเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษามหาวิทยาลัย และกลุ่มคนทำงาน

“คนไทยยังมีความสนใจในแบรนด์อยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ปัญหาที่พบคือการไม่มีหน้าร้านในประเทศไทย ไม่มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทำให้ที่ผ่านมาลูกค้าไม่มั่นใจในตัวสินค้า แต่การเปิดชอปของเราจะช่วยตอกย้ำความมั่นใจในตัวสินค้า มีการรับประกัน และเรื่องราคาที่ยังถือว่าสูงกว่าที่ญี่ปุ่นเพียง 200-400 บาท ซึ่งจะช่วยอุดช่องว่างของธุรกิจพรีออร์เดอร์ไปได้อีกทางหนึ่ง”

และเพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออีกขึ้นหนึ่ง ไมเนอร์ได้เปิดตัว anello Official Store อย่างเป็นทางการภายใต้คอนเซ็ปต์ “From Japan to Thailand” เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษด้วยสินค้าคอลเล็ชันใหม่ล่าสุดที่นำมารวบรวมไว้ที่นี่ที่เดียว โดยภายในงานนอกจากจะได้พบกับกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ด เอดิชัน “anello Water Resistant” ที่พร้อมอวดโฉมและจัดจำหน่ายที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรกในโลก โดยงานนี้ ทาเคชิ โยชิดะ ประธานกรรมการจาก Carrot Company เจ้าของลิขสิทธิ์แบรนด์ดังประเทศญี่ปุ่นได้เดินทางมาเปิดสาขาด้วยตัวเอง

 anello

ทั้งนี้ การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของแบรนด์ anello พร้อมกับ anello Official Store ในเมืองไทยอย่างเต็มรูปแบบครั้งนี้มีจุดแข็งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ซื้อเป็นสินค้าลิขสิทธิ์ถูกต้องและจะได้รับการบริการหลังการขายทุกครั้ง เพียงแค่เก็บใบเสร็จไว้และนำมาแสดงเมื่อสินค้ามีปัญหา

และในอนาคตอันใกล้ anello จะมีการจัดทำบาร์โค้ดสำหรับไมเนอร์โดยเฉพาะ เพื่อเป็นเครื่องหมายการันตีสินค้าลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง ลูกค้าที่ซื้อสินค้าจากชอปจะได้รับบริการหลังการขาย และมั่นใจได้ว่าสินค้าทุกชิ้นที่ซื้อจาก anello Official Store ภายใต้โมเดลของการจัดจำหน่ายของไมเนอร์คือสินค้าลิขสิทธิ์แท้ที่มีให้เลือกกว่า 150 แบบ จาก 800 แบบ ไม่ว่าจะอยู่ที่สาขาใดก็ตาม

และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ สินค้าที่จะวางจำหน่ายในแฟล็กชิปในประเทศไทยนอกจากคอลเล็กชันปกติแล้ว ยังมีสินค้าพิเศษใน 3 กลุ่มที่จะวางจำหน่ายทั้งสินค้าลิมิเต็ด เอดิชัน สินค้าที่จะวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นแห่งแรก และสินค้าโลคอลที่จะวางจำหน่ายเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น