3 สิ่งที่จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไปตลอดกาล

ที่ผ่านมาจะเห็นว่าค่ายรถยนต์จำนวนมาก เริ่มปรับแผนการผลิตรถยนต์จาก น้ำมัน สู่การผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (electric vehicles : EV) มากขึ้น ซึ่งในปีนี้จะเห็นการเปิดตัวโมเดลรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากหลายค่าย ในตลาดมากขึ้น

การพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรืออีวี (Electric Vehicle) เป็นแนวโน้มสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้ แต่นอกจากการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแล้ว บริษัท ไอเอฟเอส ได้คาดการณ์ 3 สิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี พ.ศ. 2561 ไว้ดังนี้

1) รายได้จากบริการในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเพิ่มขึ้น 30% ในปี พ.ศ. 2561

ผู้นำด้านยานยนต์ในปัจจุบันต้องการแสดงให้ตลาดและคู่แข่งเห็นถึงความยืดหยุ่น ความคล่องตัว และความสามารถในการปรับตัวของตนเพื่อที่จะได้ไม่อยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายเมื่อบรรดาคู่แข่งหันมาลงทุนในบริการใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัล

อย่างไรก็ตามอาจต้องใช้เวลาในการผสานรวมซอฟต์แวร์องค์กรเพื่อช่วยให้มั่นใจถึงความคล่องตัวและความสามารถในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ สรุปก็คือการรอไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีอีกต่อไป

2) วัสดุที่มีน้ำหนักเบากว่าเดิมและแข็งแรงยิ่งขึ้น

ในปี พ.ศ. 2561 เราจะเห็นการใช้วัสดุประเภทใหม่ที่มีน้ำหนักเบาและปลอดภัยมากขึ้นที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านกฎหมายที่เข้มงวดเกี่ยวกับยานพาหนะที่จะต้องมีความปลอดภัยยิ่งขึ้นและสามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้น้อยลงด้วย จะเห็นได้ว่าวัสดุ เช่น อะลูมิเนียมและเหล็กกล้าทนแรงดึงสูง (High Tensile Steel) จะกลายเป็นมาตรฐานของตลาดในที่สุด และพลาสสติกที่มีความแข็งแรงทนทานและปลอดภัยเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า พลาสติกชนิดเสริมแรงด้วยคาร์บอน หรือ CFRP (carbon fiber reinforced plastic) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนประกอบหลักของรถยนต์สปอร์ตจะเริ่มถูกนำมาใช้ในรถยนต์ชนิดอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมี แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ลามิเนตหรือ CFRP (carbon-fiber laminate) ที่ทำจากชั้นของเส้นใยคาร์บอน (เกือบบริสุทธิ์) ที่มีความแข็งแรงอย่างมากและนำมาเชื่อมระหว่างชั้นเข้าด้วยกันด้วยวัสดุยึดติดที่มีความแข็งอย่างมาก เช่น เรซินอีพ็อกซี่

3) 1 ใน 4 ของรถยนต์คันใหม่จะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

ภายในปี พ.ศ. 2565 รถยนต์คันใหม่จะเริ่มเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และจะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2570 และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเริ่มเป็นที่เข้าใจในวงกว้างมากขึ้น แต่ก็ยังมีอุปสรรคสำคัญสองประการคือ การขาดสถานีชาร์จกระแสไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานและความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งประเทศที่มีจำนวนของสถานีชาร์จไฟสาธารณะมากที่สุดคือ จีน มีอยู่ประมาณ 150,000 จุดและวางแผนที่จะติดตั้งให้เพียงพอเพื่อรองรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจำนวน 5 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2563

ทั้งนี้ ประเทศที่เป็นเป้าหมายหลักในการลงทุนโรงงานผลิต คือ ประเทศจีน จีนกำลังเดินหน้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในภาครถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ซื้อรถยนต์ยอมรับว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีนสามารถผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยในปีที่ผ่านการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ประเทศจีนกำลังเติบโตเพิ่มขึ้น 23%

ดังนั้นก็น่าจะได้เวลาของรถไฟฟ้าแล้ว แต่แบตเตอรี่และการชาร์จไฟที่ได้มาตรฐานยังคงเป็นปัญหาสำคัญยิ่งและเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วตามที่อุตสาหกรรมยานยนต์คาดหวังไว้ก่อนหน้านี้