เปิดยุทธศาสตร์ไทยเบฟ รุกธุรกิจแบบ 360 องศาภายใต้ Vision 2020

ไทยเบฟ มุ่งมั่น เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน ภายใต้ Vision 2020 เน้นเข้าใจตลาด และผู้บริโภค พร้อมเดินแผนรุกธุรกิจแบบ 360 องศา

 

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นำทีมโดยผู้นำทัพใหญ่ ไทยเบฟ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี พร้อมด้วยเหล่าผู้บริหารทั้งประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจสุรา,เอ็ดมอนด์ นีโอ คิม ซูน กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเบียร์,ลี เม็ง ตัท กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์, เลสเตอร์ เต็ก ชวน ตัน กรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลล์ ประเทศไทย ,นงนุช บูรณะเศรษฐกุลกรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหาร ประเทศไทย,โฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่องและ ดร. เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล

 

แท็กทีมกันออกมาตอกย้ำวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรระดับโลก พร้อมกางแผนเดินองค์กรภายใต้ Vision 2020 ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง และยั่งยืน

ไทยเบฟ

โดยฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่เราได้มีโอกาสเห็นเศรษฐกิจโดยภาพรวมของประเทศได้มีการขยายตัวในระดับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับไทยเบฟเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความมุ่งมั่น เข้าใจ เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน ด้วยศักยภาพความพร้อมอย่างรอบด้านที่เรามีอยู่ เพื่อรองรับกับสภาวะของตลาดโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำเรื่อง Take on limitless opportunities with excitement, understanding and commitment เพื่อยืนยันในความมุ่งมั่นที่จะนำไทยเบฟสู่ Stable & Sustainable Asean Leader ตามเป้าหมาย

 

และเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไทยเบฟได้วางกลยุทธิ์ขับเคลื่อนองค์กรผ่าน 5 กลยุทธ์หลักภายใต้Vision 2020 หรือแผนดำเนินการระยะ 6 ปี โดยแผนดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 และเดินมาถึงครึ่งทางของแผนงานดังกล่าวแล้ว โดยกลยุทธ์ทั้ง 5 ที่ว่าประกอบด้วย

 

Growth คือการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไทยเบฟวางเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ครบวงจรใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งเราสามารถผลักดันการเติบโตทางธุรกิจ จากการใช้กลยุทธ์ในทุกๆ ด้าน รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากกลุ่มสินค้าที่เรามีอยู่ ในด้านประสิทธิภาพของการบริหารจัดการ พันธมิตรคู่ค้าที่แข็งแกร่ง และความเข้าใจของโอกาสทางการตลาด

 

Diversity ความหลากหลายของสินค้า ที่ตั้งเป้าการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้มีการออกผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภค พร้อมต่อยอดความสำเร็จด้านธุรกิจอาหารโดยการเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหาร quick service restaurant (KFC)

 

Brand การมีตราสินค้าที่โดนใจ ถือเป็นหัวใจหลักของความสำเร็จทางธุรกิจ ที่ไทยเบฟมุ่งเน้นในการพัฒนาตราสินค้าในกลุ่มให้มีความหลากหลาย และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งด้าน คุณภาพ รสชาติ และราคา วันนี้ต้องบอกว่าสินค้าของเราทุกตัวมีการวางตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจน

 

Reach การกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง ไทยเบฟยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายการกระจายสินค้า ให้ครอบคลุมในประเทศ และต่างประเทศในตลาดเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง

 

และท้ายสุด คือเรื่องของ Professionalism ความเป็นมืออาชีพ ไทยเบฟไม่ได้โฟกัสแค่โอกาสทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังคงมุ่งเน้นในส่วนของการสร้างความเป็นมืออาชีพให้เกิดขึ้นในองค์กร โดยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เราต้องพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร และผลักดันศักยภาพของทุกคนให้ถึงขีดสุด เพราะบริษัทไม่ได้มองบุคลากรที่ขับเคลื่อนองค์กรเป็น “ทรัพยากร” แต่มองว่าเป็น “ทุน” Human capital ที่จะนำพาบริษัทให้เติบใหญ่ได้ตามวิสัยทัศน์ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ทุกอย่างมีความพร้อมอย่างครบถ้วนทั้งเรื่องคน เรื่องทุน และสินค้า ที่พร้อมจะออกรบสู่การขยายตัวในตลาดต่างประเทศ

 

ขณะเดียวกันก็เร่งพัฒนาคุณภาพสินค้า การตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งเรื่องไอที นวัตกรรมต่างๆ และให้ความสำคัญกับการวางแผนงานที่ตั้งเป้าไว้อย่างชัดเจน

ไทยเบฟ

และจากกลยุทธ์ทั้ง 5 ทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับแผน Vision 2020 นอกจากนี้ยังได้มีการวางแผนเพื่อรุกตลาดแบบ 360 องศา ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับธุรกิจเครื่องดื่ม และอาหารอย่างต่อเนื่อง โดยการเปิดตัวโซดา ร็อค เมาเท็น และการกลับมาอีกครั้งของเบียร์เฟเดอร์บรอย และน้ำแร่ช้าง รวมทั้งแผนขับเคลื่อนเบียร์ช้างในรูปแบบใหม่ๆ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ตราสินค้าสำคัญ 2 ยี่ห้อ ได้แก่ รวงข้าว และ หงส์ทอง ได้รับการยอมรับว่าท๊อปเท็นตราสินค้าสุราของโลกจาก IWSR ตามปริมาณ ในขณะที่ โออิชิ ก็ยังรักษาอันดับ 1 ในตลาดเครื่องดื่มชาเขียว เช่นเดียวกับน้ำดื่มคริสตัล ที่ขึ้นครองอันดับ 1 ของประเทศเช่นกัน

 

“ผมมีความภูมิใจที่ไทยเบฟ ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย ได้ดำเนินนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างมุ่งมั่นและจริงจังมาโดยตลอด จนได้เป็นที่ยอมรับ (ดังจะเห็นได้จากการที่ DJSI ได้เพิ่มให้ไทยเบฟอยู่ในระดับ World (อันดับที่ 2) และระดับ Emerging Market (อันดับที่ 1) พร้อมทั้งได้มีโอกาสร่วมพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ในงานสานพลังประชารัฐร่วมกับทุกภาคส่วน จนได้รับเชิญจากกระทรวงการต่างประเทศให้ร่วมนำเสนอการทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ในเวที High Level Political Forum on Sustainable Development ที่สำนักงานใหญ่ยูเอ็น มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา

 

และในปี พ.ศ 2561 ที่จะถึงนี้ ผมเห็นโอกาสที่ธุรกิจของเราจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากตลาดในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับสุขภาพ เป็นตลาดที่ผู้บริโภคสามารถรับรู้ข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ในทันที อีกทั้งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคโดยเฉพาะตามเมืองสำคัญต่างๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้ไทยเบฟ สามารถเข้าไปต่อยอดทางธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น

 

ท้ายนี้ ผมขอยืนยันในศักยภาพของเราที่มีความพร้อมอย่างรอบด้าน และความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนบริษัทไทยเบฟ ร่วมกับคณะผู้บริหาร และเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อร่วมสร้างความเติบโต ไปพร้อมกับแบ่งปันประโยชน์ที่เกิดขึ้นให้กับทุกภาคส่วนในสังคมที่เราอยู่ร่วมกัน และในลำดับต่อไปผมขอให้ผู้บริหารที่รับผิดชอบในกลุ่มธุรกิจแต่ละประเภท ได้มาให้ข้อมูลรวมไปถึงผลการดำเนินงาน และทิศทางของแผนงานต่อไปในอีกปีข้างหน้ากับทุกท่านครับ”

ไทยเบฟ

 

เปิดแผน รุกไทยเบฟ 360 องศา

 

ประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจสุรา
ประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจสุรา

ประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจสุรา กล่าวว่า “ ในปีที่ผ่านมาเรายังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้ดีเหมือนเดิม นอกไปจากนั้น เรามีการพัฒนาสินค้าและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่ตลาดเครื่องดื่มสุรา ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศอยู่เสมอ โดยเรามีแผนออก รวงข้าวซิลเวอร์ ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ นอกจากนี้ เบลนด์ 285 ซึ่งเป็นผู้นำสุราสีที่มีภาพลักษณ์สากลมานานกว่า 10 ปี ก็ได้ออกแคมเปญใหม่พร้อมขวดใหม่ ดูทันสมัยและดึงดูดใจผู้บริโภคมากขึ้น และยังเพิ่มเทคนิคฝาครอบแคปซูล เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพสินค้า และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่เทียบเท่ากับสุราต่างประเทศระดับพรีเมี่ยม”

 

 

เอ็ดมอนด์ นีโอ คิมซูน กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเบียร์

เอ็ดมอนด์ นีโอ คิมซูน กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเบียร์ กล่าวว่า “เราเดินหน้ารุกตลาดอย่างต่อเนื่องตามแผน Vision 2020 ของไทยเบฟ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าเราจะต้องก้าวขึ้นเป็นแบรนด์เบียร์อันดับหนึ่งของประเทศไทยในปี 2020 ซึ่งทั้งแบรนด์ช้าง และเฟเดอร์บรอย มีภาพรวมความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ล่าสุดทั้งสองแบรนด์สามารถคว้ารางวัลจากเวทีการประกวดเบียร์ระดับโลก ในส่วนของแบรนด์ช้าง ได้คว้ารางวัลชนะเลิศของประเทศไทย จากเวที World Beer Awards 2017 ในการแข่งขันประเภทเบียร์ ลาเกอร์ (Lager Beer) ภายใต้สไตล์การผลิตเบียร์แบบ Helles / Münchner

 

และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แบรนด์ช้างเปิดตัว “น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง” เพื่อเสริมทัพการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ช้างให้มีความพรีเมี่ยมยิ่งขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับแบรนด์เฟเดอร์บรอย หลังจากที่ได้ปรับภาพลักษณ์ และสูตรใหม่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาโดยการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพมาใช้เป็นวัตถุดิบ โดยเฉพาะการนำเข้ามอลต์สายพันธุ์เดียวจากเยอรมัน (German Single Malt) เป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่สร้างความโดดเด่นในระดับพรีเมี่ยม ล่าสุดเฟเดอร์บรอย คว้ารางวัล ประเภทเบียร์ลาเกอร์ (Lager Beer) สไตล์ German Style Pale Ale จากเวที World Beer Awards 2017 และยังได้รับรางวัลการออกแบบบรรจุภัณฑ์จาก The International Beer Challenge ในปีนี้อีกด้วย ซึ่งนับเป็นการตอกย้ำคุณภาพ รสชาติและดีไซน์บรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จากความสำเร็จที่ผ่านมาของทั้งสองแบรนด์ หลังจากนี้เราจะยังคงมีการแนะนำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าจัดแคมเปญการตลาดที่จะช่วยให้เราครองความเป็นที่หนึ่งในใจผู้บริโภคทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศได้ต่อไป”

 

ลี เม็ง ตัท กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์

ลี เม็ง ตัท กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ พร้อมด้วย เลสเตอร์ เต็ก ชวน ตัน กรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลล์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า “สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อบรรลุเป้าหมาย Vision 2020 เราได้ปรับกลยุทธ์ในการเสริมโครงสร้างการดำเนินงานให้แข็งแกร่งให้อยู่ภายใต้หลักการดำเนินงาน 4 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย

 

1.บริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งสร้างสรรค์และนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เพื่อตอบโจทย์การดูแลสุขภาพให้กับผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนแบรนด์น้ำดื่ม“คริสตัล”และชาพร้อมดื่ม“โออิชิ” ครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 พร้อมทั้งผลักดัน “100 พลัส” และ “เอสเพลย์” ขึ้นเป็นอันดับ 2 ในตลาดในบางช่องทาง

2.การกระจายสินค้าครอบคลุมทุกพื้นที่ ด้วยการวางระบบและแนวทางการขายใหม่ที่ครอบคลุมในทุกมิติการจัดการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงการนำระบบ Pre-sales system มาใช้

3.กระบวนการผลิต ภายใต้นโยบาย Production 4.0 นั่นคือ ระบบการผลิตแบบลีน (Lean manufacturing system) เป็นระบบที่สามารถบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรร่วมกับคู่ค้า สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที โดยมีเป้าหมายให้เกิดการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการผลิตแบบ Ecofriendly ที่เน้นลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปคาร์บอนไดออกไซด์และยังมุ่งมั่นในการผลิตสินค้าคุณภาพที่คำนึงถึงผู้บริโภคในทุกมิติ

4 .การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญทั้งในมิติของการจัดการทรัพยากรน้ำ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศ และการนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้”

 

นงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหาร ประเทศไทย

นงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันธุรกิจอาหารของเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นธุรกิจหนึ่งที่มีศักยภาพในการเข้ามาเสริมทัพกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้เป็นอย่างดี เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายตาม Vision 2020 ของไทยเบฟ ในฐานะแบรนด์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบและไว้วางใจ ทำหน้าที่ส่งมอบความอร่อยผ่านเมนูอาหารหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ Street Food ไปจนถึง Fine Dining พร้อมให้การดูแลผ่านบริการที่ได้มาตรฐาน ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ และในทุกๆ โอกาส

 

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยนโยบายการขยายและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารที่ครอบคลุมในหลากหลายโมเดล ทั้งการสร้างแบรนด์ใหม่ การร่วมทุน และการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์แบรนด์ร้านอาหารชั้นนำทั้งจากในและต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจอาหารอย่างครบวงจรในอาเซียน”

 

 โฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง

ทางฝั่งของ โฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง ให้ข้อมูลว่า “ปี 2016 การมีสินค้าที่มีคุณภาพครบวงจรเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จของบริษัท แต่การนำสินค้าส่งให้ถึงจุดขายได้มากที่สุดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน สายขนส่งจึงได้พัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้าคุณภาพของเราส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง และรวดเร็วตาม Vision 2020 ที่วางไว้

และในปี 2017 ได้นำนวัตกรรมทางด้านดิจิตอล และออโตเมชั่นมาประยุกต์ใช้ในงาน โลจิสติก ทำให้ศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคแห่งใหม่ที่ จังหวัด ลำปาง ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปลายปี 2017 และศูนย์อื่นๆ ที่กำลังทยอยเปิดตามมา รวมทั้งศูนย์ขนส่งหลักในภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการกระจายสินค้าของกลุ่มไทยเบฟให้สามารถครอบคลุมช่องทางการจัดจำหน่ายได้ในทุกรูปแบบ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการบริหารจัดการโลจิสติกอย่างครบวงจร ตอบโจทย์ Vision 2020 ”

 

และสุดท้าย เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล ให้ข้อมูลว่า “ปรัชญาบริหารคนในแบบไทยเบฟ ที่มองเห็นโอกาสในการผสานระหว่างความท้าทายขององค์กร และการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตัล เพื่อสร้างนวัตกรรมการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ภายใต้แนวคิด “โอกาส ไร้ขีดจำกัด” Limitless Opportunities ซึ่งเป็นการให้พลัง และสร้างแรงจูงใจ แก่บุคลากรทุกกลุ่ม ทุกวัย ในการแสดงศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในตัวทุกคนอย่างเต็มที่ด้วยโอกาส 3 ด้านได้แก่

1.Career โอกาสในการเติบโต และพัฒนา
2. Partnership โอกาสในการขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ
3. Contribution โอกาสในการสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยผ่านการทำงาน และลงมือทำที่มุ่งเน้น Communication (การสื่อสาร) Collaboration (ความร่วมมือระหว่างกัน) ก่อให้เกิดแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่อันนำมาซึ่งโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด นอกจากนี้ไทยเบฟ ได้ลงทุนในระบบดิจิทัลที่จะเชื่อมโยงการบริหารทรัพยากรทั่วโลกเข้าด้วยกัน”

ทั้งหมดนี้ คือศักยภาพความพร้อมสูงสุดของกลุ่มธุรกิจไทยเบฟ เพื่อขับเคลื่อนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ในอีก 3 ปีข้างหน้าตาม Vision 2020 “สร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”