ปาร์คนายเลิศ ปิดตำนานโรงแรมหรู สู่ศูนย์การแพทย์ครบวงจร

กลายเป็นกระแสข่าวดังไปทั่ว หลังจดหมายจากลายมือทายาทรุ่น4ไฮโซ ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูรประกาศปิดกิจการโรงแรมฯ ปาร์คนายเลิศ ในสิ้นปีนี้


ตัวเลขการขายราว12,000ล้านบาท กับพื้นที่โรงแรมขนาด15ไร่ กลางกรุง เพื่อนำไปปรับปรุงเป็นศูนย์สุขภาพBDMS Wellnessบริการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตามความถนัดของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS)หรือเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่มีนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เป็นเจ้าของ นัยหนึ่งได้สะท้อนแง่มุมหลายมิติทางสังคมไทย

ทางหนึ่ง ดีลกว่าหมื่นล้านนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจโรงแรม แม้จะมองว่าเป็นขาขึ้น แต่ก็ไม่สามารถการันตีความสำเร็จในระยะยาวได้ หากผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้นำสภาพแวดล้อมต่างๆ มาปรับใช้ ดูตัวอย่างธุรกิจโรงแรมเครือของStarwoodและอยู่อันดับกลุ่มTop 10เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งโดนMarriott Inc.ขอซื้อเมื่อไม่นานมานี้ ในวงเงินกว่า12,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ

วงเงินสูงเพียงนี้ ทำให้ Marriottก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโรงแรมของโลกอันดับ1มีจำนวนห้องพักในเครือกว่า1.1ล้านห้องทั่วโลก และมีอสังหาริมทรัพย์ในครอบครองกว่า5,500แห่ง

มุมเดียวกัน การซื้อกิจการโรงแรมปาร์คนายเลิศ ซึ่งว่ากันว่าหรูหราระดับโรงแรม5ดาว จะแปรเป็นบริการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู ภายใต้บรรยากาศเดิมๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่ และเรือนไม้สักหลังใหญ่อายุกว่า100ปีกลางกรุงเทพฯ นั่นย่อมอัพราคาขายของบริการการแพทย์ครบวงจรที่มีความทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย ได้ไม่ยาก

แน่นอน ดีลนี้ย่อมสร้างผลกำไรแก่เจ้าของคนใหม่อย่างนายแพทย์ปราเสริฐได้อยู่แล้ว แต่ก็เร็วเกินไปที่จะประเมินว่า จะคุ้มทุนเมื่อไร ซึ่งวันนี้ธุรกิจหลัก2อย่างคือ การบินและการแพทย์ก็เปรียบเสมือนแม่วัวให้กับเจ้าของอยู่แล้ว

ปร์าคนายเลิศ
ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทโรงแรมปาร์คนายเลิศ จำกัด

แต่ใครจะไปนึกว่าทายาทของตระกูลและผู้ใหญ่ของปาร์คนายเลิศจะตัดสินใจขายสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดออกไป เพราะในอดีตโรงแรมหรูแห่งนี้ คือ ความใฝ่ฝันของบ่าวสาว ที่มาจัดงานแต่ง หรือแม้แต่แขกที่มาเยือนที่รู้สึกอบอุ่นในบรรยากาศร่มรื่นย์ของต้นไม้ใหญ่

อย่างว่าที่จะบอกว่า ธุรกิจโรงแรมต้องออกแรงมาก เพราะเป็นservice mindซึ่งหากทำการตลาดดีๆ ธุรกิจนี้เปรียบได้กับเสือนอนกิน นั่งรับทรัพย์สบายๆ

อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยหรือเศรษฐกิจโลกไม่นิ่ง ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ย่อมทำให้รายได้และกำไรลดลงไปบ้าง แต่โรงแรมก็ยังคงยืนหยัดได้ โดยเฉพาะหากตั้งใจหาลูกค้า หรือแม้แต่ต้องออกไปโรดโชว์ก็จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ไม่มากก็น้อย

11709633_1001014899922592_371032006900414136_n

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับผลประกอบการของโรงแรมแห่งนี้ ว่า ในปี2558โรงแรมมีรายได้438ล้านบาท แต่ตัวเลขการขาดทุนเท่ากับ54ล้านบาท ซึ่งแม้จะเป็นการขาดทุนที่ลดลงจากปีก่อนหน้า เท่ากับ73ล้านบาท แต่รายได้ของปี 2557โรงแรมสามารถทำตัวเลขรายได้เท่ากับ378ล้านบาท คนที่มองงบการเงินแบบหลวมๆ ออก ก็จะรู้ทันทีว่า โรงแรมทำรายได้ดีขึ้น และยังทำตัวเลขการขาดทุนลดลงจากปีก่อนหน้า

แต่ธุรกิจโรงแรมไม่สามารถรับตัวเลขการขาดทุนมหาศาลแบบนี้ได้ หรือนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เจ้าของตัดสินใจขายสิทรัพย์ที่มีค่าที่สุดชิ้นหนึ่งออกไป คำนวณง่ายๆ คือ ขายได้หมื่นล้าน ฝากกินดอกเบี้ยร้อยละ3ปีหนึ่งๆ รับทรัพย์ไปแล้วกว่า300ล้านบาท และไม่ต้องมานั่งปวดหัวว่าจะหาtrafficเข้ามาพักในโรงแรมได้หรือไม่

แน่นอนทันทีที่มีข่าวการปิดตัวของโรงแรมแห่งนี้ เครือAccorก็ประกาศรับสมัครงานทันที นี่คงเป็นทั้งข่าวดีและข่าวเศร้าของพนักงาน ในยุคที่แข่งขันรุนแรงที่การจะได้มาซึ่งพนักงานที่มีประสบการณ์ย่อมต้องจ่ายค่าตัวสูงพอสมควร

แต่คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดย่อมหนีไม่พ้น นายแพทย์ปราเสริฐ เจ้าของคนใหม่นั่นเอง นั่นเพราะมุมหนึ่งสามารถรีโนเวตโรงแรม สวนสวยกลางกรุงไปเป็น BDMS Wellness นี่คือการสร้างเครือข่ายที่ยกระดับสูงอีกครั้ง เชื่อว่าเม็ดเงินหมื่นล้านบาทของผู้บริหารโรงพยาบาลกรุงเทพดุสิตเวชการ ย่อมสร้างผลตอบแทนที่ดีแน่นอน เพียงแค่ว่าใครเห็น โอกาสมากกว่ากัน เพราะอย่าลืมว่า ราคาที่ดินแถวนั้น ตารางวาละเป็นล้าน แถมยังติดถนนใหญ่ และเต็มไปด้วยแมกไม้ขนาดใหญ่

ลองคิดเล่นๆ ว่า จำนวนห้องพัก338ห้องของโรงแรมปาร์คนายเลิศหารด้วยเงินลงทุนราว12,500ล้านบาท ต้นทุนต่อห้องคือ38ล้านบาท เงินแค่นี้ เจ้าของอย่างโรงพยาบาลกรุงเทพ ปั๊มออกมาได้ไม่ยาก

เพราะในเชิงยุทธศาสตร์ การสร้างBDMS Wellnessย่อมไม่ใช่เป็นการต่อเติมแบบอาคารสูง ซึ่งการได้มาของโรงแรมหรู ทำให้หุ้นของนายแพทย์ปราเสริฐมีมูลค่าขึ้นทันที เพียงแต่มูลค่าของทายาทของโรงแรม ได้ปิดตำนานลงแล้ว…..

nai-lert-heritage-home