นวัตกรรมสุดล้ำ

ส่อง 5 นวัตกรรมสุดล้ำ เปลี่ยนวิถีชีวิตคนในอีก 5 ปี

ส่อง 5 นวัตกรรมสุดล้ำ เปลี่ยนวิถีชีวิต คนในอีก 5 ปี

ในยุคที่นวัตกรรมก้าวเข้ามามีบทบาทต่อวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน ทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าและขับเคลื่อนการเติบโตให้กับธุรกิจ วันนี้ Business+ จะพาไปส่อง 5 นวัตกรรมล้ำยุคที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตในอีก 5 ข้างหน้า เพื่อเป็นแนวทางในการปรับตัวและรับมือกับความก้าวล้ำของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


จากรายงาน ไอบีเอ็ม ไฟว์ อิน ไฟว์ (IBM5in5) ฉบับล่าสุดของไอบีเอ็ม ได้แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมและความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์ที่มีแนวโน้มจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานในสาขาอาชีพต่าง ๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยทำการศึกษาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่าง Crypto-anchor, วิทยาการการเข้ารหัสแบบแลตทิซ, คอมพิวเตอร์ควอนตัม, ปัญญาประดิษฐ์ และกล้องจุลทรรศน์หุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์เป็นกลไกเบื้องหลัง ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างที่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกันจะช่วยให้มนุษย์ก้าวข้ามผ่านความท้าทายที่อาจไม่เคยทำได้ในอดีตเช่นกัน

นวัตกรรมสุดล้ำ

1. Crypto-anchor และ Blockchain จะผสานรวมเข้าด้วยกันเพื่อต่อกรกับผู้ที่ปลอมแปลง
ภายใน 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยี cryptographic anchor เช่น หมึกพิมพ์แม่เหล็กที่ทานได้หรือคอมพิวเตอร์จิ๋วที่ขนาดเล็กกว่าเม็ดเกลือจะฝังอยู่ในวัตถุและอุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และถูกนำมาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีกระจายข้อมูล (distributed ledger) บนเครือข่ายบล็อกเชน เพื่อรับรองว่าวัตถุหรืออุปกรณ์จากต้นทางที่ไปถึงมือลูกค้าเป็นของแท้ เทคโนโลยีเหล่านี้จะปูทางไปสู่โซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความปลอดภัยด้านอาหาร รับรองว่าชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ เป็นของแท้ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่มีการตัดแต่งพันธุกรรม ระบุสิ่งของปลอมแปลง และแสดงแหล่งกำเนิดของสินค้าหรูหราต่าง ๆ

2. วิทยาการการเข้ารหัสแบบแลตทิซเพื่อต่อกรกับแฮคเกอร์
ไอบีเอ็มกำลังพัฒนาวิธีการเข้ารหัสเพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งในวันหนึ่งจะสามารถเจาะโปรโตคอลการเข้ารหัสในปัจจุบันได้ทั้งหมด นักวิจัยของไอบีเอ็มได้เริ่มพัฒนาการเข้ารหัสแบบแลตทิซ (lattice cryptography) ซึ่งเป็นวิธีการเข้ารหัสแบบโพสต์ควอนตัมเพื่อต่อกรกับบรรดาแฮคเกอร์ที่ไม่ว่าจะใช้วิธีเข้ารหัสแบบใด ก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้เลย ทำให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าจะทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยปัจจุบันมีการนำเสนอเทคโนโลยีดังกล่าวต่อรัฐบาลสหรัฐแล้ว

3. กล้องจุลทรรศน์หุ่นยนต์ที่มี AI อยู่เบื้องหลัง
กล้องจุลทรรศน์อัตโนมัติขนาดเล็กที่มีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นกลไกสำคัญ ที่ได้รับการเชื่อมต่อกับคลาวด์และนำมาใช้งานทั่วโลกเพื่อตรวจสอบสภาวะของน้ำซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพยากรสำคัญของโลก โดยจะช่วยติดตามข้อมูลสภาวะน้ำได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านแนวทางการติดตามการเคลื่อนไหวของแพลงก์ตอนในแบบ 3 มิติ และนำข้อมูลนี้มาใช้คาดการณ์พฤติกรรมและสุขภาพของแพลงก์ตอน เพื่อตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำมันและมลพิษบนดิน รวมถึงสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำขนาดเล็ก และผู้ที่บริโภคสัตว์น้ำด้วย

4. AI ที่มีอคติจะหมดไป และมีเพียง AI ที่ปราศจากอคติเท่านั้นที่จะดำรงอยู่
แม้ในปัจจุบัน AI จะเป็นเทคโนโลยีที่มีการพูดถึงกันอย่างมาก แต่ในแง่ความน่าเชื่อถือแล้ว ต้องยอมรับยังมีไม่มาก ซึ่งใน 5 ปีข้างหน้า จะมีการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นกลางและปราศจากอคติเอนเอียงทั้งในเรื่องเชื้อชาติ เพศ หรือความคิดความเชื่อใด ๆ ซึ่งจะทำให้ความฉลาดของ AI สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. ระบบคอมพิวเตอร์ควอนตัม จะกลายเป็นเทคโนโลยีหลัก
ในอนาคตระบบคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ทั้งการใช้งานตั้งแต่ในชั้นเรียนระดับมหาวิทยาลัย และการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษา เพราะเชื่อว่าเด็ก ๆ จะมีความสามารถในการใช้เครื่องมือเพื่อคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อีกระดับ ดังเช่นนักวิจัยของไอบีเอ็มที่ประสบความสำเร็จในการจำลองพันธะของอะตอมในเบริลเลียมไฮไดรด์ (BeH2) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการจำลองขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่จะถูกนำไปใช้แก้ไขปัญหาที่ทวีความซับซ้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และก้าวไปไกลกว่าสิ่งที่เราสามารถทำได้โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบคลาสสิคเพียงอย่างเดียว