ดิโอโร่

ไม้ต่อรุ่น 2 D’Oro ขอเวลา 3 ปี ขึ้นแท่นแบรนด์กาแฟไทยสุดชิค

ไม้ต่อรุ่น 2 D’Oro ขอเวลา 3 ปี ขึ้นแท่นแบรนด์กาแฟไทยสุดชิค

วันนี้หากใครได้มีโอกาสผ่านไปมาบริเวณหน้าร้านกาแฟดิโอโร่ (D’Oro) หรือได้แวะเวียนนั่งจิบกาแฟชิล ๆ ที่ดิโอโร่ คงได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของร้านกาแฟสัญชาติไทยรายนี้ที่พลิกโฉมไปอย่างมาก จากร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่เลือกปักหมุดในปั๊มน้ำมัน ขยายสู่นอกปั๊ม และจากแบรนด์ร้านกาแฟที่ดูแก่และเชยไปตามวัย กลายเป็นร้านกาแฟสุดชิคที่ใคร ๆ ยอมจะควักกระเป๋าจ่ายเพื่อดื่มด่ำกรุ่นกลิ่นกาแฟ พร้อมกับเช็กอินถ่ายรูปอย่างไม่ต้องอายใคร

แน่นอนว่า ภาพใหม่ของดิโอโร่ในวันนี้ ไม่ได้มาจากความบังเอิญ หากแต่เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของทายาทรุ่น 2 ของดิโอโร่ ที่ต้องการจะดันดิโอโร่ให้เติบใหญ่ กลายเป็นแบรนด์กาแฟไทยสุดชิคที่คนไทยภูมิใจและเลือกดื่มทุกวัน

ดิโอโร่

โจทย์สุดหิน

การวางเป้าหมายที่จะนำพา ดิโอโร่ ก้าวสู่แบรนด์กาแฟไทยที่คนไทยภูมิใจและเลือกดื่มในทุกวัน ท่ามกลางสมรภูมิแก้วกาแฟที่แข่งขันดุเดือด ทั้งจากเชนกาแฟดังระดับโลก และแบรนด์เล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทุกซอกมุม แถมพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยยังติดแบรนด์ บ่อยครั้งทีเดียวที่เลือกจะเสพเพราะต้องการโซเชียลและอีโมชันนอล มากกว่าการดื่มด่ำคาเฟอีน นั่นจึงนับเป็นโจทย์ “มหาหิน” สำหรับทายาทรุ่น 2 ของดิโอโร่ที่เข้ามารับไม้ต่อในเวลานี้

ทว่าสำหรับ นีน่า-ภคมน สมบูรณ์เวชชการ Chief Operation Officer ทายาทคนโต และ เอนี่-วรรณินา สมบูรณ์เวชชการ Brand Experience Director ทายาทคนที่ 2 ของ บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด กลับคิดต่าง โดยพวกเธอเชื่อมั่นในคุณภาพมาตรฐานกาแฟของดิโอโร่ ซึ่งควบคุมเองตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

ผนวกกับการวางโพซิชันนิ่งของแบรนด์ที่แตกต่างในการเป็น Premium Economy หรือถ้าจะพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ กับแบรนด์เสื้อผ้า ดิโอโร่จะเทียบได้กับ “ยูนิโคล่” ที่คุณภาพดี ราคาได้ และสวมใส่ได้ทุกวัน ที่สำคัญคือใส่แล้วไม่อายใคร ซึ่ง 2 สิ่งนี้จะสามารถทลายปราการทั้งหมดไปได้

“ถ้าย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ยอมรับว่าคนไทยติดแบรนด์นอก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแบรนด์ไทยมาแรงขึ้น จะเห็นได้ชัดจากแฟชั่น เดิมทีคนมักจะพูดว่าต้องซื้อแบรนด์เนมนั้นแบรนด์เนมนี้ แต่ตอนนี้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน หันมานิยมและใช้แบรนด์ไทยมากขึ้น ดังเช่น หมู ASAVA และ POEM”

นีน่า ย้ำถึงความมั่นใจ พร้อมกับอธิบายเหตุผลในการพลิกโฉมดิโอโร่ในวันนี้ว่า นอกจากปัจจัยด้านการแข่งขันของตลาดที่ร้อนแรงถึงขั้นทะลุองศาเดือดแล้ว ทำให้หากดิโอโร่ต้องการไปต่อและมีที่ยืนในสนามนี้ ก็ต้องปรับตัวให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป

อีกส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากอายุของดิโอโร่ที่เปิดดำเนินการในเมืองไทยปีนี้มาครบ 18 ปี จากความตั้งใจแรกเริ่มที่คุณพ่อ วีรเดช สมบูรณ์เวชชการ ต้องการจะสร้างร้านกาแฟเล็ก ๆ สไตล์อิตาเลียนซึ่งขณะนั้นยังไม่มีในตลาดเมืองไทย โดยมุ่งหวังจะมีเพียงไม่กี่สาขาเท่านั้น แต่มาถึงวันนี้ดิโอโร่กลับสามารถก้าวทะยานมาไกล โดยมีสาขาถึง 130 สาขาทีเดียว

ซึ่งหากเทียบกับคน คงต้องยอมรับว่า ดิโอโร่กำลังเป็นวัยรุ่นแรกแย้มที่รอวันเติบโตอย่างสง่างาม แต่หากมองในแง่แบรนด์แล้ว “เอนี่” ยอมรับว่า ภาพของดิโอโร่ในสายตาผู้บริโภควันนี้ เป็นแบรนด์ที่ไม่ Chic แล้ว

“เดิมทีกลุ่มเป้าหมายของดิโอโร่เป็น Family Coffee House ทำให้วันนี้ลูกค้าเราโตไปตามแบรนด์ ค่อนข้างมีอายุ เราจึงอยากจะขยายไปในกลุ่มคนทำงาน คนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษามากขึ้น แต่กลุ่มเดิมเราก็ยัง keep อยู่”

นีน่า ย้ำถึงโจทย์ใหญ่ และทำให้นับตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาสานต่อธุรกิจ จึงต้องการ Rebranding เพื่อขยายฐานตลาดของดิโอโร่ในวงกว้างยิ่งขึ้น และเมื่อพวกเธอบอกโจทย์นี้กับคุณพ่อ เอนี่บอกว่า คุณพ่อก็เห็นด้วย พร้อมสั่งลุยเต็มที่ !!

ดิโอโร่

ยกเครื่อง 360 องศา
เมื่อพูดถึงการ Rebranding เอนี่ ยอมรับว่า หลายคนจะนึกเพียงแค่การปรับโลโก้ เปลี่ยนสีใหม่ แต่สำหรับดิโอโร่ ไม่ได้ทำแค่นั้น แต่เป็นการเปลี่ยนทุกมิติแบบ 360 องศาเลยทีเดียว โดยการยกเครื่องแบบ 360 องศาในสไตล์ดิโอโร่นั้น เอนี่ อธิบายว่า จะเป็นการปรับเปลี่ยนตั้งแต่ชื่อและโลโก้ใหม่ เพื่อให้จำง่ายขึ้น ทั้งยังปรับปรุงร้านและดีไซน์แก้วกาแฟใหม่ให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยการดึง Tuna Dunn อาร์ตติสต์ที่กำลังโด่งดังมาออกแบบลายเส้นให้

นอกจากนี้ ในส่วนเมนูกาแฟ นอกจากเมนูปกติแล้ว ยังพัฒนาสินค้าเป็น Seasonal ออกสู่ตลาดมากขึ้นด้วย รวมถึงปรับโลเคชันใหม่จากที่เคยอยู่ในปั๊มน้ำมันจนกลายเป็นภาพจำ แต่จากนี้ไปจะเห็นดิโอโร่ไปตั้งอยู่ในทำเลที่ชีวิตประจำวันของคนดื่มกาแฟอยู่ ทั้งย่านออฟฟิศสำนักงาน สถาบันการศึกษา ตลอดจนโรงพยาบาล ทั้งในรูปแบบ Stand Alone, Drive-Through และการ Co-Investment

“การทำ Co-Investment จะต่างจากระบบแฟรนไชส์ เป็นโมเดลที่เรานำมาจากเชนฟาสต์ฟู้ดในต่างประเทศเพื่อคุมรสชาติกาแฟให้ได้มาตรฐานเดียวกัน รูปแบบเป็นการลงทุนร่วมระหว่างดิโอโร่กับพาร์ตเนอร์ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งอาจมีสถานที่ โดยดิโอโร่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการให้ ขณะที่ผู้ร่วมลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ขณะนี้อยู่ระหว่างการตกลง ซึ่งจะได้เห็นเป็นรูปเป็นร่างในปีนี้”

ไม่เพียงแค่นั้น เอนี่ บอกด้วยว่า กระบวนการทำงานหลังบ้านก็เปลี่ยนใหม่หมด โดยมีการนำเทคโนโลยีทั้ง Big Data และ CRM มาเสริมประสิทธิภาพการทำงานและให้รสชาติกาแฟได้มาตรฐานเดียวกันมากขึ้น รวมถึงมุ่งเทรนนิ่งพนักงานมากขึ้น เนื่องจากเป็นทั้งหัวใจและความท้าทายในการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟ เพราะคนใกล้ชิดกับลูกค้ามากที่สุดคือ พนักงาน

ดิโอโร่

ขอ 3 ปี ขึ้นแท่นแบรนด์กาแฟไทยสุดชิค
กว่า 1 ปีกับการเข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัว พร้อมกับ Rebranding ดิโอโร่ใหม่ นีน่า บอกว่า สนุกและค่อนข้างพอใจกับผลตอบรับมาก เพราะนอกจากจะสามารถขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มนักศึกษาได้มากขึ้นแล้ว วันนี้ผู้บริโภคยังกล้าที่จะถ่ายรูป โพส เช็กอิน และรีวิวกาแฟดิโอโร่มากขึ้น จากเดิมทีที่ไม่มีใครดื่มดิโอโร่แล้วกล้าถ่ายรูป

ทว่าทายาทสาวแห่งดิโอโร่อมยิ้มก่อนจะตอบด้วยว่า ทั้งหมดถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ซึ่งจากนี้ไปจะเริ่มทยอยรีโนเวตร้านเก่า ๆ ให้ครบ ก่อนจะเดินหน้าสยายปีกในต่างประเทศต่อไป พร้อมทั้งมั่นใจว่าภายใน 3 ปีจากนี้ จะสามารถนำพาดิโอโร่ก้าวถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน

นับเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของดิโอโร่ที่น่าจับตามองอย่างมาก เพราะในวันที่เกมการแข่งขันธุรกิจกาแฟร้อนแรงและเปลี่ยนไป ดิโอโร่กลับสามารถปรับตัวรับมือได้อย่างเท่าทัน

สัดส่วนรายได้ของดิโอโร่

  • กาแฟ 60%
  • เบเกอรี่ 40%

ภาพรวมธุรกิจกาแฟในเมืองไทยปี 2560

  • ตลาดรวมกาแฟเติบโต 7-10%
  • ตลาดร้านกาแฟเติบโต 10-15%

ที่มา : บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด