สังคมดราม่า

ทุกวันนี้เราต้องมารับรู้เรื่องราว แม้กระทั่งคนที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เป็นเพื่อนทางออนไลน์ ซึ่งจริง ๆ แล้วข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้กินเวลา กินจิตใจเราไปมาก โดยไม่ได้มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของเราเลย

ก็ต้องยอมรับว่า โลกเราทุกวันนี้อยู่กับความเครียด เนื่องจากเรารับรู้และถูกรับรู้เรื่องราวบนโลกนี้เกินความจำเป็น ทำให้เกิดความคาดหวัง ทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น เมื่อไม่เป็นไปดังหวัง ความผิดหวังและความเครียดจึงมีบ่อย แค่ไม่มีเหมือนเขา ไม่ได้เที่ยวเหมือนเขา ก็เป็นการสร้างกิเลส ความหวัง ผิดหวัง น้อยใจ ได้อย่างง่าย ๆ ต่างจากเมื่อก่อนที่เราไม่เคยต้องรับรู้เรื่องคนอื่นเท่าไร อย่างมากก็รับรู้แค่คนใกล้ตัว

อย่างที่ทาง เอ็นไวโรเซล เคยทำเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วว่าอัตราการฆ่าตัวตายจะสูงขึ้น อัตราการหย่าร้างจะมากขึ้น จากภาวะทางสังคมแบบนี้ ซึ่งถ้าเราไม่ตื่นตัวมาร่วมกันปรับเปลี่ยนสังคม คงมีแต่แย่ลงเรื่อย ๆ
เราก็ได้สัมผัสกับพัฒนาการทางด้านลบของสังคม กับความดราม่ากันแล้ว ซึ่งก็เป็นตัวอย่างของการไปรับรู้เรื่องราวผู้อื่นมากเกินความจำเป็น และสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นได้ ทั้งที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องขัดแย้งเลย

ยกตัวอย่าง ดาราที่เลิกกันต่างก็มีแฟนคลับเป็นของตัวเอง พอเขามีปัญหากัน แฟนคลับ 2 กลุ่มก็ทะเลาะกัน ด่ากันไปมา ทะเลาะกันโดยไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ต่างฝ่ายก็ไม่ได้มีปัญหากันเอง ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กัน แถมอาจไม่เคยเจอหน้ากันด้วยซ้ำ

พูดง่าย ๆ ว่าปัญหาไม่สมควรมี แต่เราก็อุตส่าห์สร้างมันขึ้นมา แล้วจะไม่ให้อยู่กับปัญหาความเครียดได้อย่างไร ก็เราล้วนขยันสร้างมันขึ้นมาเองทั้งสิ้น เมื่อก่อนเรื่องเล็ก ๆ ไม่เคยเป็นประเด็นทางสังคม แต่ก็ยังมีคนหยิบยกขึ้นมาให้เป็นเรื่องราวถกเถียง และทำให้สังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยากที่จะประสานความสามัคคี เหมือนมีรอยแตกเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครใส่ใจมาปะ มันก็เลยค่อย ๆ ร้าวไปทีละนิด ๆ โดยสิ่งที่ถกเถียงในโลกอออนไลน์ไม่เคยมีการแก้ไข จนสุดท้ายกลายเป็นรอยแตกยาวที่ยากจะประสานกลับมาให้อยู่ในสภาพเดิมอีกต่อไป

เราทุกคนก็คงทราบกันดีอยู่ว่ากระแสสังคมเป็นเรื่องที่ต้านทานได้ยาก บางคนที่ไม่เข้มแข็งพอ ก็หลุดเข้าไปอยู่ในกระแส แต่บางคนที่ผ่านชีวิตมามาก ไม่หลุดไปกับกระแสทางตรงก็ทางอ้อม เพราะถึงไม่ได้เป็นคนที่ดราม่าเอง แต่ก็ชอบเรื่องดราม่าไปโดยปริยาย นั่งมองดูและก็ยอมรับ ปรับตัวกันไป มีเพียงส่วนน้อยที่ลุกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของการทำให้สังคมดีงาม มีความอดทนและพลังมากพอที่จะยืนหยัดทำดี โดยไม่ท้อเสียก่อน น้อยเสียจนแทบมองไม่เห็นการมีอยู่

ถ้าเราทุกคนตระหนัก และเพียงแค่ร่วมกันเป็นตัวอย่างที่ดี เพียงแค่ทำกับตัวเอง เช่น การใช้ชีวิตแบบเพียงพอ รักษาศีล เราก็สามารถช่วยปรับเปลี่ยนได้ทีละน้อย เพราะการรักษาศีล การใช้ชีวิตแบบพอเพียง คือ พื้นฐานที่ดีของสังคมที่สงบสุข เป็นเกราะป้องกันไม่ให้คนทำชั่วในชีวิตประจำวัน และย่อมเป็นแบบอย่างที่ดีให้ทุกคนปฏิบัติตาม

น่าเสียดายที่การรักษาศีล เข้าวัด ฟังธรรม กลายเป็นกระแสที่ถูกมองว่าโบราณ จึงทำให้สังคมเสื่อมลงโดยปริยาย
จริง ๆ ถ้าทุกคนหันมาใส่ใจตัวเองมากกว่าใส่ใจผู้อื่น สังคมจะดีขึ้นมากเลยนะคะ หลักง่าย ๆ เลยคือ การสร้างคุณค่าให้ตัวเองก่อน เมื่อคนเรารู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองก็จะมีความสุข ไม่อ่อนไหวไปกับกิเลส และก็พร้อมที่จะส่งต่อพลังดี ๆ ไปให้ผู้อื่นด้วย จินตนาการดูสิคะว่าถ้าสังคมเต็มไปด้วยคนแบบนี้จะมีความสุขขนาดไหน หลักการสร้างคุณค่าก็มีง่าย ๆ แค่ 4 ด้าน คือ

1. ทำตนให้มีหน้าตาผิวพรรณผ่องใส กินอาหารดี ๆ ไม่ดื่ม ไม่เสพของมึนเมา และพักผ่อน
2. ทำตนให้มีรูปร่างดี หมั่นออกกำลังกาย เพื่อดูแลให้เป็นผู้มีบุคลิกที่ดี
3. ทำตนให้มีสมองดี อ่านหนังสือ หาความรู้อยู่เสมอ
4. ทำตนให้มีหัวใจดี นั่งสมาธิ รักษาศีล ใช้ชีวิตแบบที่รู้จักพอ

ถ้าเราเอาเวลามาใส่ใจตัวเอง และสามารถสร้างสมดุลทั้ง 4 เรื่องนี้ เราย่อมต้องรู้สึกดีกับตัวเอง และเมื่อคนเรารู้สึกดีกับตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง ย่อมเป็นบุคคลที่มีความสุขตามอัตภาพ

ถ้าสังคมเต็มไปด้วยคนแบบนี้ ซึ่งก็คือคนแบบคุณจะสุขขนาดไหน เริ่มต้นที่การเอาเวลามาใส่ใจในการสร้างคุณค่าให้ตัวเองเสียตั้งแต่วันนี้กันเลยนะคะ สังคมดีอยู่ที่คุณค่ะ

ผู้ขียน : สรินพร จิวานันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นไวโรเซล (ประเทศไทย) จำกัด